มหาพุทธเจ้าห้องนิทรรศการ

มหาพุทธเจ้าห้องนิทรรศการ
ที่ตั้ง
มุมตะวันตกเฉียงเหนือของพระเจดีย์ชเวดากอง
วันที่เปิดทำการ
17-4-1991

ห้องแสดงพระมหาพุทธศิลป์ตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของเจดีย์ชเวดากองและเปิดให้ประชาชนทั่ไปเข้าชมห้องโถงใหญ่แห่งนี้เดิมเคยเป็นห้องแสดงพระธรรมเจดีย์ชเวดากองในปี1989รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการสำคัญ3โครงการที่เกี่ยวข้องกับเจดีย์ชเวดากองโดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเหล่านี้การปรับปรุงและก่อสร้างห้องแสดงพระมหาพุทธศิลป์เริ่มขึ้นเมื่อวันที่1ตุลาคมโดยเปลี่ยนห้องแสดงพระธรรมเจดีย์ชเวดากองเดิมเป็นห้องแสดงพระมหาพุทธศิลป์ 2 ชั้น ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 17 เมษายน 1991.
ชั้นล่างของห้องแสดงพระพุทธเจ้ามี28ห้องจัดแสดงเหตุการณ์สำคัญต่างๆในพระพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าเช่นการปฏิสนธิและประสูติการดำเนินชีวิตในพระราชวังการสละพระชนม์ชีพ การบำเพ็ญตบะ การเห็นนิมิตการตรัสรู้การแสดงปฐมเทศนาการอุปสมบทของพระยัสและพวกพ้องการบริจาคของพระยโสธรการอุปสมบทของพระราหุลการสอนที่แม่น้ำโรหินีเพื่อสันติภาพการสถาปนาคณะภิกษุณีคำแนะนำที่พระนางเขมะทรงสั่งสอนการห้ามพระภิกษุทำสิ่งอัศจรรย์การสอนพระอภิธรรมการประทับอยู่ป่าปริลัยยกะอย่างสันโดษคำสอนของสิกัลคำสอนของอักโกสะภรัทวาชพราหมณ์คำขอของพระอานันทม เทศนาของกาลามสูตร การดูแลพระภิกษุที่เจ็บป่วย คำสอนของพระมลักษมีคำสอนของมหาศาลาการรับบิณฑบาตจากพระภิกษุ5รูปความแตกแยกที่เกิดจากพระเทวทัตความภักดีของกษัตริย์อชาตสัตว์การสรรเสริญพระสารีบุตรการถวายเครื่องบูชาของพระอัมพปาลีและนิพพานครั้งสุดท้ายของพระองค์เหตุการณ์เหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านภาพวาดประติมากรรมและแบบจำลองพร้อมด้วยระบบแสงและเสียงหลากสีสันนอกจากนี้ยังมีแผนที่แสดงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากพุทธคยาไปยังเมียนมาร์ชั้นบนมีภาพวาด 28 ภาพซึ่งแสดงถึงการสะสมบารมีขอพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า และจิตรกรรมฝาผนัง 6 ภาพซึ่งแสดงถึงการสังคายนาครั้งแรก.

ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า
1 ชีวิตนักพยากรณ์เพื่อบรรลุเป็นพระโคตมพุทธเจ้า ชีวิตของฤๅษีสุเมธา
2 พระพุทธพจน์พุทธโอวาท ท่านลอร์ดทีปนิการา
3 วันประกาศคำทำนาย วันเพ็ญเดือนกะซอน(เดือนพฤษภาคม)
4 สถานที่เกิดของฤๅษีสุเมธา ประเทศอมราวดี
5 สถานที่ประกาศคำทำนาย เมืองพระราม
6 ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าในอนาคต พระเจ้าไวศานตร
7 การปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ความรู้ทางโลกความรู้ทางปัญญาและความรู้ทางพุทธ
8 ชื่อภรรยาพระพุทธเจ้าในอนาคต สุมิตา(เจ้าหญิงยโสธรา)
9 ระยะเวลาของการฝึกฝนและความพยายาม

สี่กัปและหนึ่งแสนโลก(อาณาจักรหรือโลกนับไม่ถ้วนในพุ

ทธศาสนา)

10 จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับโลก
11 บารมีสิบประการ (ปารมิตา)

ความมีน้ำใจ (ดาน ปารมี), ศีลธรรม (สีละ ปารมี), ความสละ (เนกขัมมะ ปารมี), ปัญญา (ปัญญา ปารมี), ความเพียร (วิริยะ ปารมี), ความอดทน (ขันติ ปารมี), ความสัตย์จริง (สัจจะ ปารมี), ความเด็ดเดี่ยว (อทิตฐาน ปารามี), ความรักความเมตตา (เมตตา ปารมี), ความอุเบกขา (อุเบกขาปารมี)

 

12 การละทิ้งอย่างถาวร วัสดุ ลูก ภรรยา ส่วนของร่างกาย ชีวิต
13 ชีวิตก่อนเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ในแดนสวรรค์ดุสิตามีเทพองค์หนึ่งพระนามว่าสัตตกัฏฏุ
14 การเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ เมื่อถึงวันพฤหัสขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ​​ยุคมหาราช (67)
15 อาณาจักรพระพุทธเจ้าในอนาคต แคว้นมิซซิมาประเทศสักตันอาณาจักรกบิลพัสดุ์(เนปาล)
16 เมืองที่พระพุทธเจ้าในอนาคตประสูติ ระหว่างดินแดนกบิลพัสดุ์และดินแดนเทวเทวะ
17 สถานที่เกิด ในสวนต้นเสลาลุมพินี
18 วันเกิด วันศุกร์วันเพ็ญเดือนกาศนปีที่68 แห่งมหาสักกะราชา
19 เกิดมาด้วยกัน

พี่อานันทต้นโพธิ์เจ้าอาวาสกาลูยีพระมเหสีในอนาคต

(ยโสธรา)ข้าราชบริพารท่านจันนะหม้อทองคำขนาดใหญ่ 4 ใบ พระม้าคันตกะ

20 เชื้อสาย ราชวงศ์

21

พระนามพระพุทธเจ้าในอนาคต

พระสิทธัตถะ (สามารถสนองความต้องการทุกประการ)

22

พระบิดาแห่งพระพุทธเจ้าในอนาคต

พระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ปกครองแคว้นกบิลพัสดุ์

23

พระมารดาของพระพุทธเจ้าในอนาคต

พระศรีมหามายาเทวี

24

แม่เลี้ยงของพระพุทธเจ้าในอนาคต

มหาปชาบดีโคตมี (น้องสาวของพระศรีมหามยาเทวี)

25

ภรรยา

ยโสธารา (หรือที่รู้จักในชื่อ ภัททะ กริชณะ)

26

ลูกชาย

ราหุล

27

วันที่แม่เสียชีวิต

วันที่ 7 หลังการประสูติของพระพุทธองค์ในอนาคต

28

อายุที่พระพุทธเจ้าในอนาคตจะทรงแต่งงาน

อายุ (16) ปี.

29

พ่อแม่ของยโสธร

พระเจ้าสุปาพุทธะแห่งเทวทหะและพระอมิตาเทวี

30

จำนวนปีแห่งการครองราชย์ของพระพุทธเจ้าในอนาคต

(13) ปี (อายุ –16 ถึง 29)

31

สามพระราชวัง

รามมะ (พระราชวังฤดูหนาว), สุรัมม(พระราชวังฤดูร้อน), สุภา (พระราชวังฤดูฝน)

32

ลางบอกเหตุทั้งสี่

ชายชรา, ชายป่วย, ชายที่เสียชีวิต, นักพรต

33

ยุคแห่งการละทิ้งชีวิตทางโลก

อายุ (29) ปี

34

ปีแห่งการละทิ้งชีวิตทางโลก

ปีแห่งมหายุค (97)

35

เดือน วัน และเวลาที่จะสละชีวิตทางโลก

เที่ยงคืนวันจันทร์ วันเพ็ญเดือนวโส

36

ผู้ช่วยในการละทิ้งชีวิตทางโลก

ข้าราชบริพารชานนะและขันธ์ม้าหลวงที่เกิดมาพร้อมกัน

กับพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

37

มารผู้ห้ามพระโพธิสัตว์ไม่ให้ละทิ้งชีวิตทางโลก

ปีศาจ

38

ผู้ที่ถวายผ้าจีวรแด่พระโพธิสัตว์

พระเจ้ากาฏกฤษณะพรหม

39

สถานที่ตัดพระเกศาโพธิสัตว์

ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา

40

บุคคลผู้รับพระเกศาธาตุของพระโพธิสัตว์

พระอินทร์

41

เจดีย์ที่เก็บพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า

เจดีย์สุลามณี (สวรรค์ตวาติมสา)

42

ผู้รับจีวรพระพุทธเจ้า

พระราชาพรหมทรงเรียกการ์ถิกายะว่า

43

เจดีย์ที่เก็บจีวรของพระพุทธเจ้า

เจดีย์ดูสา (ดินแดนพรหม)

44

ความหมายของความเคร่งครัดเคร่งครัด

นิสัยที่ยากจะปฏิบัติสำหรับคนทั่วไป

45

สถานที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด

ป่าอุรุไวลา

46

รวมปีที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด

6 ปี (มหายุค 97-103)

47

ผู้ที่บริจาคนมอาลัมให้กับพระพุทธเจ้า

หญิงรวยคนหนึ่งที่เรียกทูซาทาร์ว่า

48

สถานที่บริจาคนมวัวให้พระพุทธเจ้า

อาซาปาลา เสต็กยอง โคนต้นไทร

49

แม่น้ำที่ถ้วยทองลอยอยู่

แม่น้ำนารันจาระ

50

ผู้ที่บริจาคหญ้าแปดกำมือให้กับพระพุทธเจ้า

พราหมณ์คนหนึ่งซึ่งกำลังเกี่ยวหญ้า เรียกว่า ทวติยะ (Thoot Hti Ya)

51

ผู้ที่เกือบจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วมารบกวน

ปีศาจ

52

ได้รับความรู้

ในยามกลางดึกพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความรู้แห่งอดีตชาติ ในยามสุดท้ายแห่งกลางคืนพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความรู้แห่

งการทำลายมลทินและบรรลุพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันสูงสุด

53

วัยแห่งการบรรลุธรรม

อายุ 35 ปี

54

ปีแห่งการได้เป็นพระพุทธเจ้า

ยุคมหาราช 103

55

เดือน วัน และเวลาที่จะอุปสมบท

วันเพ็ญเดือนกะซอน รุ่งอรุณของวันพุธ

56

สถานที่ที่กลายมาเป็นพระพุทธเจ้า

บัลลังก์สมบัติที่เรียกว่า อปาราหิตา อยู่เชิงต้นมหาโพธิ์

57

การสำเร็จการศึกษาของพระพุทธเจ้า

พระโคตมพุทธเจ้า

58

ยุคที่พระพุทธเจ้าเจริญ

หนึ่งร้อยปี

59

สถานที่แสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก

ที่ป่าเมกาดาวอนในดินแดนบารยานาธี

60

วันเดือนเวลาที่พระธรรมเทศนา

มหาศักราช 103 วันเพ็ญเดือนวูดู ก่อนพระอาทิตย์ตกในวันเสาร์

61

ประชาชนผู้ฟังธรรมสักกะ

ในหมู่คนมีพระฤๅษี ภูติผีปีศาจ และพรหม 5 รูป

62

ชื่อของฤๅษีทั้งห้า

Ashin Kawnanya, Ashin Wappa, Ashin Baddhiya, Ashin Mahar Nam and Ashin Athhazi

63

บุคคลแรกที่ก่อตั้งซารานากอนสองแห่ง

จากหมู่บ้านOkkalapa(บางคนเชื่อว่าปัจจุบันคือเมือง

ย่างกุ้ง)Taputsa(Taputsa)และBallika(Banlik)เป็น

พี่น้องพ่อค้าสองคน

64

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้

พระเกศาธาตุทั้งแปดของพระองค์

65

เจดีย์ที่เก็บพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า

ที่พระเจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้ง

66

บุคคลแรกที่ก่อตั้งสามซารานากอน

หนุ่มรวย ยศสา และครอบครัว

67

ความสำเร็จทั้งแปดประการ

ปีศาจ ยักษ์ที่เรียก Arlawakka ช้างที่เรียก Nalargiri คนเลวที่เรียก Ingulimarla ผู้หญิงเลวที่เรียก Seinsamana ราชาแห่งมังกรที่เรียก Nandawpananda บากา Braham และ Thitsakkaprivize

68

สาวกะผู้เป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่หลุดพ้นจากปัญหาชี

วิตทางโลก

อาชิน ขวัญญา และ ศุภพัทธ์ไพรเวท

69

ฝั่งขวาของอัคคถสาวกะ

พระสารีบุตร

70

ด้านซ้ายของอัคคถสาวกะ

พระโมคคัลลาน

71 การสอนศาสนา ศาสนาปาริยติ ศาสนาปาติปัตติ ศาสนาปาติเวช
72 กฎเกณฑ์ทางจริยธรรม ศีลธรรม ความซื่อสัตย์ และปัญญา
73 กฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ ทางสายกลาง (หลักธรรมที่เป็นธรรม)
74 ปีที่ต้องปฏิบัติธรรมต่อโลกภายหลังที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า อายุ 45 ปี
75 อายุพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จปรินิพพาน 80 ปี
76 ปี วัน เดือน เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน

มหาศักราช๑๔๘วันเพ็ญเดือนกะซอและรุ่งอรุณของวั

นอังคาร

77 สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ดินแดนกุสินารา ป่าต้นสาละของกษัตริย์มัลละ
78 ปีเดือน วัน เวลาที่พระสรีระของพระพุทธเจ้าถูกไฟเผาไหม้ มหาศักราช ๑๔๘ ข้างแรมของเดือนกะซอน (๑๒) วันอาทิตย์
79 หลังจากพระบรมสารีริกธาตุถูกไฟเผาจนหมดสิ้นแล้ว ตะกร้า 2 ใบ (หน่วยตวงแบบพม่า)
80

จุดมุ่งหมายที่พระผู้มีพระภาคได้บรรลุพระพุทธภาวะเพื่อช่

วยเหลือสัตว์ที่เหลืออยู่

เพื่อจะได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุและเพื่อประโยชน์สุขค

วามเจริญแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

81 คำพูดสุดท้ายของพระพุทธเจ้า จงระวังทุกสิ่งอย่างเพราะทุกรูปแบบและทุกชื่อที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมถูกทำลายได้
28 ส่วนที่แสดงถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในชีวิตของพระพุทธเจ้า
1. การปฏิสนธิและการประสูติของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

เจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายาเทวี เมื่อรุ่งอรุณของวันพฤหัสบดี วันเพ็ญเดือนวาโซ มหาศักราช 67 เมื่อพระนางสิริมหามายาเทวี ทรงปฏิสนธิพระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงฝันเห็นช้างเผือกอันศักดิ์ สิทธิ์โอบล้อมพระนางและเ สด็จ เข้าสู่พระครรภ์จากเบื้องขวา
พระพุทธเจ้าในอนาคตประสูติในวันศุกร์ วันเพ็ญเดือนกาสัน มหาศักราช 68 ณ สวนสาละลุมพินี ทันทีที่พระองค์ประสูติ พระพุทธเจ้าในอนาคตทรงก้าวไปทางทิศเหนือ 7 ก้าว และทรงประกาศว่า “เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เราเป็นผู้น่าสรรเสริญที่สุดในโลก”

  1. พระพุทธเจ้าในอนาคตจะทรงมีชีวิตที่สง่างาม

เมื่อพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระชนมายุ 16 พรรษา พระบาทสมเด็จพระสุทโธทนะ ทรงสร้างรามม พระราชวังฤดูหนาว สุรัมม พระราชวังฤดูร้อน และสุภา พระราชวังฤดูฝน ถวายแด่พระองค์ และทรงให้ประทับ ณ พระราชวังทั้งสามแห่งนี้ตามลำดับ เพื่อป้องกันมิให้พระองค์ต้องปรินิพพาน

พระราชาได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธรา ผู้มีพระสิริโฉมงดงามดุจทองคำทรงให้พระอง ค์ดำร งชี วิตอย่างหรูหรา ทรงเสวยสุขทางโลกด้วยอายตนะทั้งห้า

3. เจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าในอนาคตทรงเห็นลางสังหรณ์อันยิ่งใหญ่ทั้งสี่

ในวันเพ็ญเดือนวาโซ มหาศักราช 96 ขณะที่พระพุทธเจ้าในอนาคตเสด็จไปยังอุทยานหลวง ด้ว ยรถม้าสี่ตัวที่ลากโดยม้าสี่ตัว พระองค์ทอดพระเนตรเห็นชายชราคนหนึ่งระหว่างทาง จึงทรงตร ะหนัก ว่าพระองค์เองก็ต้องแก่เฒ่าเช่นกัน อีกครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าในอนาคต ทอดพ ระเนต รเห็น ชายป่วย จึงทรงตระหนักว่าพระองค์เองก็ต้องป่วยในสักวันหนึ่ง อีกครั้งหนึ่ง พระพุท ธเจ้า ในอนาค ตทอดพระเนตรเห็นชายชราคนหนึ่ง จึงทรงตระหนักว่าพระ องค์เองก็ต้อ งตายใน สักวัน หนึ่งเช่น กัน อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นนักพรต และทรงรู้สึกว่าก ารปฏิ บัติและการ ปฏิบั ติตนของนักพรตจะเป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง และจะนำ ไปสู่การหลุ ดพ้น จากโลก

4. พระพุทธเจ้าในอนาคตทรงสละชีวิตทางโลก

เมื่อพระพุทธเจ้าในอนาคตทรงตระหนักถึงกฎแห่งชรา เจ็บไข้ และมรณะ พระองค์จึงทรงตั้งปณิ ธานที่จะ บำเพ็ญตบะและดำเนินชีวิตแบบนักพรต เที่ยงคืนวันจันทร์ วันเพ็ญเดือนวาโซ มหาศั กราช 97 พระพุทธเจ้าในอนาคตทรงเรียกข้าราชบริพารชื่อจันนะ ขึ้นม้าคันตกะ ออกบำเพ็ญตบะ เมื่อเสด็จถึงแม่น้ำอโนมา ทรงตั้งพระทัยที่จะบำเพ็ญตบะเพียงลำพัง จึงทรงมอบจีวรและม้าให้จันนะ แล้วทรงส่งกลับพระนคร

5. พระพุทธเจ้าในอนาคตปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด

พระพุทธเจ้าในอนาคตทรงบำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดในป่าอุรุเวลา ในระยะแรก พระพุทธเจ้าใน อนาคตทรงสะสมและเสวยบิณฑบาต ต่อมาทรงบำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัด ทรงเสวยเพียง ข้าวสา รเมล็ดเดียว ถั่วเขียวเมล็ดเดียว หรือน้ำต้มสุกหนึ่งช้อนโต๊ะ ด้วยโภชนาการที่น้อยนิด พระองค์จึง ผอมแห้ง ซีดเซียว และอ่อนแรง พระเศียรและพระพักตร์หดเล็กลงเหมือนน้ำเต้าแห้งที่ถูกแดดเผา ผิวของพระองค์แห้งกร้านคล้ำเหมือนปลามังคุระหรือหลังตัวเรือด ขนตามร่างกาย หลุดร่วงเมื่อทร งลูบ พระหัตถ์ ซี่โครงของพระองค์เปรียบเสมือนคานหักของบ้านพักทรุดโทรม ก้นของพระองค์เหี่ ยวเฉาเหมือนกีบอูฐ เมื่อทรงสัมผัสผิวหนังบริเวณท้อง พระองค์ทรงยึดกระดูกสันหลังไว้ เมื่อทรงยืน ขึ้น พระองค์ก็ทรงล้มลง พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้ความรู้แจ้งแจ้ง จึงได้ปฏิบัติธรรมอย่างเค ร่งครัดต่อเนื่องกันถึง 6 ปี

6. พระพุทธเจ้าจะทรงบรรลุธรรมg

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงไม่สามารถบรรลุพระสัพพัญญูได้หลังจากทรงบำเพ็ญตบะอย่างหนักเป็นเวลาหกปี พระองค์จึงทรงเปลี่ยนมาปฏิบัติมัชฌิมปฏิปทา ทรงบำเพ็ญภาวนาแบบหายใจเข้ าและหาย ใจ ออก และทรงเจริญฌานที่สี่ หรือฌานที่สี่ เพื่อบำเพ็ญภาวนา พระองค์จึงทรงบริโภค อาหา รปริมาณมากด้วยการสะสมบิณฑบาต ในวันพุธ วันเพ็ญเดือนกาศน ปีมหาศักราชที่ 103 ประทับนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์อปรหิตา ณ เชิงต้นมหาโพธิ์ พระองค์ทรงพิชิตมารได้ก่ อนพระอา ทิตย์ตกดิน ในยามแรกของคืน พระองค์ทรงได้ตรัสรู้อดีตชาติ ในยามกลางของคืน พระองค์ท รงได้ตรัสรู้พระเนตรทิพย์
ในยามสุดท้ายของคืน พระองค์ทรงได้ตรัสรู้ความสิ้นอาสวะ และบรรลุพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้ นพร ะองค์ทรงเปล่งวาจาขึ้นต้นว่า “ตลอดวัฏสงสารอันไม่สิ้นสุด”

7. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมสักกะครั้งแรก

หลังจากบรรลุพระพุทธภาวะแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีความเห็นว่า หากทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้ งห ลายที่ดำรงอยู่ในกามสุขแล้ว พวกมันก็คงไม่เข้าใจ และผลสุดท้ายก็คือความเพียรที่สูญเปล่า อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงวิงวอนขอพระสหัมบดีพรหม ทอดพระเนตรไปรอบๆ เพื่อดูว่าใคร เหมาะสมที่สุดที่จะเทศนา และทรงเห็นสหายก่อนหน้า คือ สมณะทั้งห้า จากนั้น พระพุทธ เจ้าเ สด็จ ไปยังป่ามิคทายะ ซึ่งเป็นที่ประทับของสมณะทั้งห้า และในเย็นวันเสาร์ วันเพ็ญเดือนวาโซ มหาศั กราช 103 ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินและดวงจันทร์กำลังจะขึ้น พระองค์ทรงแสดงพ ระธรร มเทศนาแรก “ธรรมกงจักร” ซึ่งขึ้นต้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย มีสองขั้ว”

8. ยสาได้บวชเป็นพระภิกษุ

ยสะ บุตรของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง เพลิดเพลินในมหรสพทางดนตรีที่เล่นเฉพาะสตรี คืนหนึ่ง เขาตื่นขึ้น หลังเที่ยงคืน เห็นสตรีผู้ให้ความบันเทิงนอนหลับอย่างสกปรกโสมมราวกับอยู่ในสุสาน เขาเบื่อ หน่า ยในกามสุข จึงออกจากห้องบรรทม เสด็จไปยังป่ามิคทายะ เป็นที่ซึ่งพระอ งค์ได้ทรง พบพร ะพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม พระองค์ได้บรรลุพระโพธิสัตว์ บิดาของยสะและนางสุชาดา ได้มาตามหาบุตรที่หายไปและได้พบพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ทั้งส อง ได้ตั้งมั่นในพระไตรปิฎก ยสะได้บรรลุพระอรหันต์ทั้งสามขั้น และได้เป็นพระอรหันต์ พ่อค้าผู้มั่ง คั่งและ ภรรยาเป็นผู้แรกที่ได้ตั้งมั่นในพระไตรปิฎก

9. พระยโสธรทรงเคารพพระพุทธเจ้า: พระราหุลทรงขอมรดก

พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอัครสาวกอาวุโสสองพระองค์ เสด็จเข้าไปในห้องของพระยโศทระ พระ ยโ ศทร ะวางพระหัตถ์บนพระบาทของพระพุทธเจ้า เคารพสักการะและกันแสง พระบิดา พระสุท โธทนะ ทรงแจ้งแก่พระพุทธเจ้าว่า พระยโศทระทรงบำเพ็ญตบะอย่างสมถะ ขณะที่พระพุ ทธเจ้าใ นอนาคตทรงบำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดในป่าพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องจันทเกณนารีชาดก
พระยโศทระทรงดลบันดาลให้พระราหุลโอรสขอมรดกจากพระบิดาพระพุทธเจ้าจึงทรงแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงสถาปนาพระราหุลเป็นสามเณร และทรงมอบ มรดกแ ห่งศา สนาให้ แก่พระโอรส

10. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาเรื่องสันติสุขแก่พระโรหิณี

ชาวนาในกบิลพัสดุ์และโกลิยะได้โต้เถียงกันเรื่องการใช้น้ำในแม่น้ำโรหินีที่ไหลผ่านระหว่างสองรัฐ กษัตริย์ทั้งสองจึงเตรียมทำสงคราม พระพุทธเจ้าทรงหลีกเลี่ยงการนองเลือด จึงเสด็จมาประทับ เหนือน้ำ ของโรหินีที่อยู่ระหว่างสองกองทัพทรงสั่งสอนพว กเขาด้วยพระธรรมเทศนาเพื่อ สันติภา พว่า ชีวิตอันมีค่ายิ่งไม่ควรสูญสิ้นไปเพียงเพราะน้ำที่ไร้ค่าเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ สงครามจึงยุ ติ ลง และไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้น

11. พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สตรีสถาปนาคณะภิกษุณี

ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ พระมารดาเลี้ยง โคตมีได้ทูลขออนุญาตให้ สตรีบ วชเป็นภิกษุณีถึงสามครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงเวสาลี พระมารดาเลี้ยง โคตมี พร้อมด้วยสตรีศากยะห้าร้อยคน โกนเศียร นุ่งห่มผ้าเหลือง ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
ด้วยพระอานนท์ทรงวิงวอนขอต่อพระมารดาเลี้ยง โคตมี ให้สถาปนาภิกษุณีภิกษุณี โดยมีเงื่อ นไข ว่า พวกเธอต้องปฏิบัติตามศีล ๘ ประการ

12. พระพุทธเจ้าสอนพระนางเขมา

พระนางเขมะผู้งดงาม ทรงภาคภูมิใจในความงามของพระนางจึงทรงหลีก เลี่ยงพระพุทธเจ้าผู้ เคยทร งสอนเรื่องมลทินอันน่ารังเกียจของความงามทางกายพระนา งเขมะทรงสดับฟังบทเพล งเกี่ ยวกับความงามของเวฬุวัน จึงเสด็จมาถึง ณ ที่นั้น พระนางทรงประหลาดใจยิ่งนักเมื่ อทอดพระ เนตรเห็ นสตรีผู้งดงามกว่าพระองค์หลายเท่า กำลังพัดพระพุทธเจ้าอยู่ในวัด ทว่าแม้พระนางเขม ะจะทอดพระเนตรเห็น สตรีผู้งดงามพัดพระพุทธเจ้าก็ยิ่งเฒ่าชราลงเรื่อยๆ ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เริ่มค ร่ำค รวญและสิ้นพระชนม์พระนางเข มะทรงตระหนักถึงกระบวนการแห่งชีวิตและทรงสลดพระทัย พรนางทรงยอมรับคำแนะนำของพระพุทธเจ้าและทรงบวชเป็นภิกษุณี

13. พระพุทธเจ้าห้ามพระสงฆ์แสดงพลังเหนือมนุษย์

เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์แขวนบาตรไม้จันทน์ไว้บนยอดเสาสูง 60 ศอก (90 ฟุต)พร้อมประกา ศว่าจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดรวมถึงตนเองและครอบครัวให้เป็นทาสแก่ภิกษุที่อ้างตนเป็นพระอรหันต์และแสดงพระปรีชาสามารถโดยการเดินทางในอากาศและนำบาตรออกเมื่อไม่มีใครสามารถกระทำได้ ชาวเมืองที่มึนเมาด้วยสุราก็เยาะเย้ยถากถางด้วยคำถามว่า“ไม่มีบุคคลเช่ นพระอรหั นต์ หรือ?” เมื่อพระภิกษุปิณฑลภรัทวาช ได้ยินคำเยาะเย้ ยซึ่งอาจทำ ลายศาสน ธรรม ของพร ะพุทธ เจ้า จึงมากระทำบาตรนั้น ชาวเมืองทั้งเมืองต่างพากันแตกตื่น พระพุทธเจ้าทรงทร าบเรื่องจึ งทร งอั ญเชิญพระภิกษุปิณฑลภรัทวาชมาพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปภิกษุไ ม่ควร แสดงอานุภาพเหนือมนุษย์

14. พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรม

พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาในฤดูฝนครั้งที่ ๗ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประทับนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์ ทรงแสดงพระอภิธรรมแก่เทวดาและพรหมทั้งหลาย ซึ่งมีเทวดาผู้เป็นพระมารดาเป็นประมุข พร ะพุท ธเจ้าเสด็จไปประทับยังโลกทุกวันและเสวยพระกระยาหารในป่าจันทน์ พระองค์ได้ทรงเล่ าพระ อ ภิธรรมที่ทรงแสดงไว้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ให้พระสารีบุตรฟัง พระพุทธปฏิมากรทรงแส ดงพระ อภิ ธรรมในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่อไป หลังจากทรงแสดงพระอภิธรรมตลอดฤดูฝน พระพุทธเจ้า เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ในวันเพ็ญเดือนตถิงยุตตามบันไดหินทับทิมจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปยังสังกัสสะ

15. พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตามลำพังในป่าปาริเลยะกะ

ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดโคสิตาราม ในเมืองโกสัมพีได้เกิดการโต้เถี ยงกันขึ้น ระหว่ างพระภิกษุผู้เป็นพระธรรมวินัยกับพระภิกษุผู้เป็นพระธรรมเทศนาเรื่องน้ำที่ไม่ได้ใช้ทิ้งในบาตรในห้องน้ำ พระภิกษุเหล่านั้นฝ่าฝืนคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดการโต้เถียงกั นอย่างต่อเ นื่องแ ล ะ แพร่ขยายไปทั่วพระสงฆ์ ทั้งในหมู่ฆราวาสและแม้แต่ในหมู่พรหม พระพุทธเจ้าทรงปร ารถนาที่ จะอยู่เ พียงลำพัง จึงทรงละทิ้งคณะสงฆ์และเสด็จไปยังป่าปริลัยกะเพื่อประทับอยู่อย่างสันโดษ โดย มีช้างและลิงคอยรับใช้

16. พระพุทธเจ้าทรงสอนเยาวชนสิงหล

พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มรูปงามนามสิงคละ สวมผมเปียกโชก ถวายบังคม ณ ทิศทั้งหก เมื่อทรงซักถามชายหนุ่มจึงอธิบายว่าตนกำลังถวายบัง คมตามทิศทั้งหกที่พ ระบิดามา รดาทรงสั่งสอน พระพุทธเจ้าทรงอธิบายแก่ชายหนุ่มรูปงามว่าทิศทั้งหกนั้นหมายถึง มารดา บิดา ครู อาจารย์ สามี ภรรยา บุตร และธิดา พร้อมทั้งทรงอธิบายหน้าที่ของแต่ละฝ่าย (สิงคโลวาทสูตร กล่าวถึงหน้าที่ของบิดามารดาและครูตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและปฏิบัติโดยชาวเมียนมาร์)

17. พระพุทธเจ้าทรงเชื่อพระอาโกสะภรัทวะจะพราหมณ์

อโกสาภราดวชะพราหมณ์โกรธแค้นพราหมณ์ในตระกูลที่เข้าเฝ้าพระสงฆ์บ่อยครั้ง จึงได้โกรธแ ละ ตำ หนิพระพุทธเจ้า ดุด่าและสาปแช่ง พระพุทธเจ้าทรงอดทนต่อคำด่าทออันหยาบคายนั้น และ ตรั สถามพราหมณ์ว่า“สมมุติว่าญาติของท่านไปเยี่ยมบ้านท่านโดยไม่รับอาหารที่ท่านนำมาถวาย อาหารจะเหลืออยู่ที่ไหน” พราหมณ์กล่าวว่าอาหารจะเหลืออยู่กับท่าน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เราไม่ รั บคำ หยาบคายร้อยคำของท่าน บัดนี้มันยังคงอยู่กับท่าน” พระพุทธเจ้าทรงแสด งธรรมเทศน าเรื่องอโทสะชนะความโกรธ

18. ชิน อานันทน์ ขอพร 8 ประการ
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญตบะในฤดูฝนครบ ๒๐ ปีความจำเป็นในการมีผู้ติดตาม ประจำจึ งเกิด ขึ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงขอให้ภิกษุเลือกผู้ที่เหมาะสม ภิกษุเหล่านั้นได้ขอร้อ งให้พระอ านนท์ ญาติสนิท ขออนุญาตจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้ติดตาม พระอานนท์ทรงแสดงพ ระประสงค์ที่ จะรับ ใช้พระพุทธเจ้า หากพระองค์ไม่ทรงรับบำเหน็จสี่ประการที่พระองค์ไม่ประสงค์ และทรงได้รับพระ ราชทานอภิ สิทธิ์สี่ประการที่พระองค์ปรารถนา พระอานนท์ไม่ประสงค์จะรับบำเหน็จสี่ประการได้ แก่ จีวรที่ถวายแด่พระพุทธเจ้า บิณฑบาตที่ถวายแด่พระพุทธเจ้า การประทับอยู่ในพระอุโบสถ แล ะการติดตามพระพุทธปฏิมากร พระอานนท์ทรงประสงค์ให้มีอภิสิทธิ์สี่ประการ ได้แก่ การที่พร ะพุ ทธเจ้าเสด็จไปกับพระอานนท์ตามนิมนต์การที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาในเรื่องที่พระอานนท์ยังไม่แน่ใจ การที่พระองค์ไม่เสด็จไปแสดงธรรมเทศนาในยามที่พระองค์ไม่เสด็จไป และการใ ห้ผู้แสวงบุญจากที่ไกลเข้าเฝ้าพระองค์ได้ทุกเมื่อหากพระอานนท์ทรงนำพา พระอานนท์ ทรงได้รั บพรตามที่ขอไว้ และได้บำเพ็ญตบะจนพระพุทธปรินิพพาน

19. พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องกาลามะ

บุรุษในตระกูลกาลามะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า “พราหมณ์พราหมณ์พเนจรทั้งหลาย ย่อมกล่าวเสมอว่า คำสอนของตนเท่านั้นที่เที่ยงแท้ พวกเขาตำหนิคำสอนของผู้อื่น คำสอนขอ งใครเล่ าจะเที่ยงแท้” พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรเกสมุตติสูตร ซึ่งตรัสไว้ว่า “อย่ารับ คำสอนใด ๆ ว่าเป็นความจริง เพราะขัดกับวาจา ถ้อยคำในหนังสือ หรือขนบธรรมเนียมประเพณี จงละทิ้ คำส อนที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ดี แล้วจงเชื่อคำสอนที่รู้อยู่แก่ใจว่ามีประโยชน์”

20. พระพุทธเจ้าทรงดูแลพระภิกษุที่ป่วย

ระหว่างที่พระองค์เสด็จประพาส พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระชินอานันทเถระ ได้พบพระภิกษุช รารู ปหนึ่ง มีอาการท้องร่วง บิดตัวไปมา และกลิ้งอยู่ในอุจจาระของตนเอง เมื่อทรงซักถาม พระภิกษุช รารูปนั้นจึงทูลพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ไม่มีคนดูแล พระองค์จึงทรงสรงน้ำ พระภิกษุที่เ จ็บไข้ด้ วย น้ำอุ่นและทรงพยาบาล หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าทรงให้พระภิกษุเหล่านั้นมาประชุมกัน และทรง สั่งให้ดูแลกันและกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุที่ปรารถนาจะรับใช้เรา ก็ต้องรับใช้คนเจ็บไข้ด้วย”

21. พระพุทธเจ้าทรงแสดงมาลุนกยปุตตะ

ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในเชตวัน พระมาลุนคบุตรได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วตรัสว่า “พระพุ ทธ เจ้ายังไม่ได้ตรัสว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง หากพระพุทธเจ้ายังทรงไม่รู้ ก็ขอให้พระ องค์ยอม รับเถิด ข้าพเจ้าจะละสงฆ์ไป” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เราไม่สอนสิ่งที่ไม่เป็นผล ไม่ว่าโลกจะเที่ย งหรือไม่เที่ยง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายย่อมมีอยู่ตลอดไป หากบุคคลใ ดถูกลูก ศรแทง แล้วกำหนดว่าลูกศรนั้นมาจากทิศใด ใครยิง และด้วยธนูหรือหน้าไม้ชนิดใด ก่อนที่จะ พยายามถอนลูกศรนั้น บุคคลนั้นก็จะตาย ท่านเองก็ได้ประส บกับความทุ กข์ในร่างก ายของท่ านแล้ว ท่านจงระลึกว่าสิ่งที่เราสอนนั้นเป็นไปตามที่สอน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราไม่ได้สอน”

22. พระพุทธเจ้าทรงสอนมหาศาลาพราหมณ์

มหาศาลาพราหมณ์ผู้มีทรัพย์สมบัติแปดแสนบาท ได้แบ่งทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้บุตรเป็นมรดก บุตรทั้งสองจึงละเลยการดูแลบิดาผู้ซึ่งบัดนี้ยากจนข้นแค้นบิดาต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพด้วยการเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ มหาศาลาได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ประทานพระคาถาสี่คาถาให้ พร าหมณ์ได้สวดพระคาถาทั้งสี่คาถาต่อหน้าประชาชน เมื่อประชาชนได้ฟังพระคาถาแล้ว ก็ได้ตำห นิติเตียนและประณามบุตรทั้งสอง บุตรทั้งสองจึงสำนึกในความประพฤติอันผิดของตน จึงได้ดูแ ลบิดาของตน พราหมณ์ได้ถวายผ้าเตี่ยวที่พระองค์ได้รับเป็นเครื่องแสดงความกตัญญู และได้เป็ นอุบาสก

23. พระพุทธเจ้าทรงรับบิณฑบาตจากพราหมณ์ปัญจคสูตร

ขณะที่พราหมณ์ปัญจกักกำลังเสวยพระกระยาหารอยู่นั้น พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าเฝ้าพร้อมบาตร ภริยาของพราหมณ์ทำท่าทีลับหลังพระสวามีว่าไม่มีอาหารถวาย พราหมณ์สั งเกตเห็ นท่าทีข อง ภริยา จึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ได้ถวายอาหาร ข้าพเจ้าควรจะถว ายอาหาร ที่เพิ่งเสวยไปแล้วหรือไม่ และพระพุทธเจ้าจะทรงรับบิณฑบาตรหรือไม่” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การถ วายอา หารก่อนเสวย หรือขณะเสวย หรืออาหารที่เหลือหลังจากเสวยแล้ว เป็นกา รสมคว รที่ภิก ษุจะสรรเสริญหรือดูหมิ่นอาหารที่ถวาย”

24. เทวทัตสร้างความแตกแยก

พระเทวทัตมีพระทัยปรารถนาจะแบ่งแยกคณะสงฆ์ จึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธ เจ้าและทรงเส นอหลัก ปฏิบัติใหม่ 5 ประการ ได้แก่ ภิกษุต้องอาศัยอยู่ในป่าตลอดชีวิต บิณฑบาตอาหารแต่ไม่รับคำเชิญ สวมจีวรจากเศษผ้าที่นำมาจากกองขยะ อาศัยอยู่โคนต้นไม้ ไม่อยู่ในที่พักอาศัย และงดบริ โภคป ลาและเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธข้อเสนอเหล่านี้ พระเทวทัตอ้างว่าพ ระพุทธเจ้า ทรงปรารถนาให้ภิกษุมีชีวิตที่สุขสบาย จึงแบ่งแยกคณะสงฆ์ และนำภิกษุที่อุปถัมภ์พระองค์ไปด้วย พระเทวทัตจึงถูกดินกลืนกินไปด้วยเพราะบาปกรรมเหล่านี้

25. อชาตศัตรูถวายความเคารพ

พระอชาตสัตว์เริ่มสูญเสียความสมดุลทางจิตใจหลังจากที่ได้ปลงพระชนม์พระบิดา พระองค์จึ งทร งแส วงหาวิธีต่างๆ เพื่อสงบจิตใจ แพทย์ชีวกจึงส่งพระอชาตสัตว์พร้อมด้วยนางงาม 500 คน ขี่ช้าง โค 500 ตัว เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในคืนเดือนเพ็ญเดือนตะซองมน พระอชาตสัตว์เห็นพร ะพุทธโอ ษฐ์ 1,250 รูป ล้อมรอบอยู่ในบรรยากาศอันสงบสุข พระองค์ชื่นชมและเลื่อมใสในความสงบนั้น และทรงแสดงพระธรรมเทศนา พระองค์ได้ทรงสดับฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า และได้บว ชเป็นพ ระภิกษุ

26. ชิน สาริปุตตะ ยกย่องพระพุทธเจ้า

ชินสารีบุตร ด้วยความเลื่อมใสในพระสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า ประกาศว่า พระพุท ธเจ้าไม่ มีผู้ใดเสมอเหมือนในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ท่านรู้จัก พระทัย ของพ ระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเรา ที่กำลังปรากฏอยู่ และที่จะปรากฏอยู่หรือไม่” ชินสารี บุตรตอบว่า “ไม่ทราบ” พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “แล้วเหตุใดท่านจึงกล่าวสดุดี?” ชินสารี บุตรต อบว่า ท่านกล่าวคำสดุดีด้วยความกล้าหาญ เพราะท่านเชื่ อมั่นและศรั ทธาในพ ระปัญญ าอัน บริสุทธิ์และไร้ขอบเขตของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม

27. พระพุทธเจ้าทรงรับคำเชื้อเชิญของพระอัมบาลีให้รับประทานอาหาร

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในป่ามะม่วงของหญิงงามเมืองอัมปาลีในเมืองเวสาลี ขณะนั้นพระนางท รงเ ชิญพระพุท ธเจ้าไปบิณฑบาตที่บ้าน พระพุทธเจ้าทรงตอบรับคำเชิญ เหล่าผู้ปกครอ งเมืองลิจฉ วีพยายามขอซื้อสิทธิ์ในการบิณฑบาตจากอัมปาลี เมื่ออัมปาลีปฏิเสธ พวกเขาก็ เข้าเฝ้า พระพุทธ เจ้าและถวายคำเชิญ พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธโดยตรัสว่าพระองค์รับคำเชิญของอัมปาลีแล้ว

28. พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน

พระพุทธเจ้าทรงละสังขารเมื่อพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา หลังจากทรงบำเพ็ญตบะในฤดูฝน ๔๕ ครั้ง พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสามเณรเสด็จไปยังเมืองกุสินารา แม้จะทรงพระประชวร ด้วยโรค ท้ องร่วง พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมเทศนาครั้งสุดท้ายแก่ภิกษุเหล่านั้น พระองค์เสด็จปรินิ พพานใ นวั นอังคาร ซึ่งเป็นวันเพ็ญเดือนกาศน มหาศักราช ๑๔๘ (๕๔๓ ปีก่อนคริสตกาล) ณ ตำหนัก ของกษัตริย์มัลละ
วันอาทิตย์ แรม ๑๒ ค่ำเดือนกาศน พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าถูกไฟเผา กษัตริย์ที่ มาร่ว มประชุมกันต่างเตรียมพร้อมทำสงครามเพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ โทณพรา หมณ์ได้แ จกจ่า ยพ ระบรมสารีริกธาตุอย่างยุติธรรมแก่กษัตริย์ที่มาประชุม พระองค์เองทรงรั บเพียงถ้วย ตวงพระ บรม สารีริกธาตุเท่านั้น

ပြခန်း(၁) ပဋိသန္ဓေယူခန်းနှင့် ဖွားတော်မူခန်း

မဟာသက္ကရာဇ် ၆၇ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်၊ ကြာသပတေးနေ့ မိုးသောက်ယံ၌ သီရိမာယာဒေဝီ မိဖုရားခေါင်ကြီး၏ ဝမ်းကြာတိုက်သို့ မြတ်သောဆင်ဖြူတော်သည် လက်ယာရစ်လှည့်ပြီးနောက် လက်ယာနံပါးမှ ဝင်ရောက်ကြောင်း အိပ်မက်မြင်တော်မူ၍ အလောင်းတော် သိဒ္ဓတ္ထမင်းသား ပဋိသန္ဓေယူတော်မူ၏။

မဟာသက္ကရာဇ် ၆၈ ခုနှစ်၊ ကဆုန်လပြည့်၊ သောကြာနေ့တွင် ကပ္ပိလဝတ်ပြည်နှင့် ဒေဝဒဟပြည် အကြား လုမ္ဗိနီအင်ကြင်းတော၌ ဘုရားအလောင်းတော် ဖွားမြင်တော်မူ၏။ ဖွားမြင်ပြီးနောက် မြောက်အရပ်သို့ ခုနစ်ဖဝါး လှမ်းကြွတော်မူ၍ “ငါသည် လောကတွင် အမြတ်ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အကြီးအကဲ ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အချီးမွမ်းခံထိုက်ဆုံးသူဖြစ်၏” ဟူသော သုံးခွန်းသော စကားကြုံးဝါး တော်မူ၏။

ပြခန်း(၁) ပဋိသန္ဓေယူခန်းနှင့် ဖွားတော်မူခန်း

မဟာသက္ကရာဇ် ၆၇ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်၊ ကြာသပတေးနေ့ မိုးသောက်ယံ၌ သီရိမာယာဒေဝီ မိဖုရားခေါင်ကြီး၏ ဝမ်းကြာတိုက်သို့ မြတ်သောဆင်ဖြူတော်သည် လက်ယာရစ်လှည့်ပြီးနောက် လက်ယာနံပါးမှ ဝင်ရောက်ကြောင်း အိပ်မက်မြင်တော်မူ၍ အလောင်းတော် သိဒ္ဓတ္ထမင်းသား ပဋိသန္ဓေယူတော်မူ၏။

မဟာသက္ကရာဇ် ၆၈ ခုနှစ်၊ ကဆုန်လပြည့်၊ သောကြာနေ့တွင် ကပ္ပိလဝတ်ပြည်နှင့် ဒေဝဒဟပြည် အကြား လုမ္ဗိနီအင်ကြင်းတော၌ ဘုရားအလောင်းတော် ဖွားမြင်တော်မူ၏။ ဖွားမြင်ပြီးနောက် မြောက်အရပ်သို့ ခုနစ်ဖဝါး လှမ်းကြွတော်မူ၍ “ငါသည် လောကတွင် အမြတ်ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အကြီးအကဲ ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အချီးမွမ်းခံထိုက်ဆုံးသူဖြစ်၏” ဟူသော သုံးခွန်းသော စကားကြုံးဝါး တော်မူ၏။

ပြခန်း(၂) ထီးနန်းစိုးစံတော်မူခန်း
အလောင်းတော် သိဒ္ဓတ္ထမင်းသား သက်တော် တစ်ဆယ့်ခြောက်နှစ်ရောက်သော် ခမည်းတော် သုဒ္ဓေါဒနမင်းကြီးသည် သားတော်ကို တောမထွက်စေရန် “ရမ္မ” မည်သော ဆောင်းရာသီစံနန်းပြသာဒ်၊ “သုရမ္မ” မည်သော နွေရာသီစံနန်းပြသာဒ်၊ “သုဘ” မည်သော မိုးရာသီစံနန်းပြသာဒ်များ တည်ဆောက်ပြီး၊ အလှည့်အလည် စံမြန်းစေပါသည်။ ရွှေအဆင်း ကဲ့သို့ လှပသော ယသောဓရာမင်းသမီးနှင့် ထိမ်းမြား ပေးတော်မူပြီး အာရုံငါးပါးတို့ဖြင့် အလွန်သာယာဖွယ်သော အဖျော်အဖြေကို ခံယူစေကာ ထီးနန်းစည်းစိမ်ကို ခံစားစေတော်မူသည်။

ပြခန်း(၃) နိမိတ်ကြီးလေးပါး မြင်တော်မူခန်း
မဟာသက္ကရာဇ် ၉၆ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်နေ့တွင် အလောင်းတော်သည် မြင်းလေးစီး ကသော ရထားဖြင့် ဥယျာဉ်တော်သို့ ကြွတော်မူရာ သူအိုတစ်ဦးကို တွေ့မြင်လေ၏။ ထိုအခါ မိမိလည်း ထိုသို့အိုရမည်ကို ဆင်ခြင်တော်မူ၏။ နောက်တစ်ကြိမ်တွင် သူနာတစ်ဦးကို တွေ့မြင်ရပြန်သောအခါ မိမိလည်း ဤသို့နာရမည်ကို ဆင်ခြင်တော်မူ၏။ နောက်တစ်ကြိမ် တွင် သူသေတစ်ဦးကို တွေ့မြင်လေရာ မိမိလည်း ဤသို့သေရမည်ကို စဉ်းစားဆင်ခြင်မိ လေ၏။ နောက်တစ်ကြိမ် ဥယျာဉ်တော်သို့ ထွက်တော်မူရာ ရဟန်းတစ်ပါးကို တွေ့မြင် တော်မူ၍ ရဟန်း၏ အကျင့်သီလသည် သတ္တဝါတို့၏ အကျိုးကို ဖြစ်ထွန်းစေပြီး ဘဝမှ လွတ်မြောက်နိုင်သဖြင့် မိမိလည်း ရဟန်းပြုရန် အဓိဋ္ဌာန်တော်မူ၏။

ပြခန်း(၄) တောထွက်တော်မူခန်း
သက်တော် ၂၉ နှစ် ရောက်သောအခါ အလောင်းတော်မင်းသားသည် အိုခြင်း၊ နာခြင်း၊ သေခြင်း တရားတော်တို့ကို ထိတ်လန့်တော်မူသဖြင့် တောထွက်၍ ရဟန်းပြုရန် ဓိဋ္ဌာန်တော်မူ၏။ မဟာသက္ကရာဇ် ၉၇ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်၊ တနင်္လာနေ့ ညဉ့်သန်းခေါင်ယံအချိန်တွင် ဆန္နအမတ်ကိုခေါ်၍ ကဏ္ဍကမြင်းတော်ကို စီးကာ တောထွက်တော်မူ၏။ အနော်မာမြစ်ကမ်းသို့ရောက်သော် တစ်ကိုယ်တည်းကျင့်ကြံအားထုတ်ရန် ရည်သန်၍ မိမိ၏ အဝတ်တန်ဆာများနှင့် ကဏ္ဍကမြင်းကို ဆန္နအမတ်သို့ လွှဲအပ်ပြီး နေပြည်တော်သို့ ပြန်ရန် စေလွှတ်တော်မူ၏။

ပြခန်း(၅) ဒုက္ကရစရိယာကျင့်တော်မူခန်း
ဘုရားအလောင်းတော်သည် ဥရုဝေလတောတွင် ဒုက္ကရစရိယာအကျင့်ကို ကျင့်ကြံ အားထုတ်တော်မူ၍ အစဦးတွင် ဆွမ်းခံလှည့်၍စားသုံး၏။ နောင်တွင် အစာအာဟာရကို ခြိုးခြံချွေတာ သုံးဆောင်တော်မူသည်။ တစ်နေ့တာအတွက် ဆန်စေ့တစ်စေ့၊ ပဲနောက်စေ့ တစ်စေ့ (သို့မဟုတ်) ပဲပြုတ်ရည် တစ်ဇွန်းကိုသာ သုံးဆောင်တော်မူ၏။ ဤသို့ကျင့်ကြံသော် အာဟာရဓါတ်နည်းပါးသောကြောင့် ကြုံလှီ ဖျော့တော့ အားအင်ကုန်ခမ်း၍ မျက်နှာတော်နှင့် ဦးခေါင်းတော်သည် ဘူးသီးနုနုနေလှမ်း၍ ရှုံ့ခွက်နေသကဲ့သို့ ဖြစ်၏။ အသားအရေသည် ငါးခူရောင် ကြမ်းပိုးကျောက်ကုန်းအရောင်ဖြင့် ခြောက်သွေ့နေပြီး ကိုယ်ကိုလက်ဖြင့် သုံးသပ်သော် အမွှေးတို့ ကျွတ်ကုန်၏။ နံရိုးတို့သည် ဇရပ်အိုမှ ဖရိုဖရဲကြဲသော အခြင်တို့ ကဲ့သို့ဖြစ်၍ ဝမ်းဗိုက်ကိုကိုင်သော် ခါးဆစ်ကို ကိုင်မိ၏။ တင်ပါးနှစ်ဖက်သည် ကုလားအုပ် ခွာကဲ့သို့ ရှုံ့ခွက်နေ၍ မတ်ရပ်ထသောနေရာ၌ လဲ၍ကျလေသည်။ သဗ္ဗညုတဉာဏ်တော် ရလိုသောကြောင့် ကျင့်နိုင်ခဲလှသော ဒုက္ကရစရိယာအကျင့်ကို ခြောက်နှစတိုင်တိုင် ကျင့်တော်မူ၏။

ပြခန်း(၆) ဘုရားဖြစ်တော်မူခန်း
အလောင်းတော်သည် ဒုက္ကရစရိယာအကျင့်ကို ခြောက်နှစ်တိုင်တိုင် ကျင့်သော်လည်း သဗ္ဗညုတဉာဏ် မရနိုင်သဖြင့် မဇ္ဈိမပဋိပဓာ အကျင့်လမ်းကြောင်းပြောင်း၍ အာနပါန စတုတ္ထဈာန်ကို ဝင်စားတော်မူ၏။ ယင်းဈာန်ဝင်စားနိုင်ရန် ဆွမ်းခံလှည့်၍ ရသမျှ အာဟာရကို မျှတဘုန်းပေးတော်မူရ၏။ မဟာသက္ကရာဇ် ၁၀၃ ခု၊ ကဆုန်လပြည့် ဗုဒ္ဓဟူး နေ့တွင် မဟာဗောဓိပင်ရင်း အပရာဇိတပလ္လင်တော်၌ ထက်ဝယ်ဖွဲ့ခွေ ထိုင်နေတော်မူ၍ နေမဝင်မီ မာရ်စစ်သည်တို့ကို အောင်မြင်တော်မူသည်။ ညဉ့်ဦးယံဝယ် “ပုဗ္ဗေနိဝါသဉာဏ်” ရတော်မူ၏။သန်းခေါင်ယံဝယ် “ဒိဗ္ဗစက္ခုဉာဏ်” ရတော်မူ၏။ မိုးသောက်ယံဝယ် “အာသဝက္ခယဉာဏ်” ရတော်မူလျက် ဘုရားအဖြစ်သို့ ရောက်တော်မူ လေသည်။ ထိုအခါ “အနေကဇာတိသံသာရံ” အစချီသော ဥဒါန်းကို ကျူးရင့်တော်မူ၏။

ပြခန်း(၇) ဓမ္မစကြာတရားဟောတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားဖြစ်တော်မူပြီးနောက် ကာမဂုဏ်တို့၌ မွေ့လျှော်သော ဤသတ္တဝါများကို တရား ဟောသော် တရားကို လွယ်ကူစွာနားလည်နိုင်ကြမည် မဟုတ်ကုန်။ တရား ဟောလျှင် ပင်ပန်းရုံသာဖြစ်မည်ဟု အကြံဖြစ်လာ၏။ သဟမ္ပတ္တိဗြဟ္မာကြီး တောင်းပန်ချက်အရ တရားဟောရန်သင့်မည့် ပုဂ္ဂိုလ်ကို ကြည့်လတ်သော် ပဉ္စဝဂ္ဂီငါးဦးကိုသာ မြင်လေ၏။ ပဉ္ဏဝဂ္ဂီငါးဦးရှိရာ မိဂဒါဝုန်တောသို့ ဝင်ပြီးနောက် မဟာသက္ကရာဇ် ၁၀၃ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့် စနေနေ့ ညချမ်းနေမင်းလည်း ဝင်လုဆဲကာလ လမင်းလည်း ထွက်ပေါ်လု ဆဲဆဲကာလတွင် “ဒွေ မေ ဘိက္ခဝေ” အစချီသော တရားဦး ဓမ္မစကြာကို ဟောတော်မူ၏။

ပြခန်း(၈) ယဿသူဋ္ဌေးသားရဟန်းဖြစ်ခန်း
ယသသူဌေးသားသည် မိန်းမတို့သာဖျော်ဖြေသော ဂီတသဘင်တို့ဖြင့် လောကီ စည်းစိမ်ခံစားနေစဉ် တစ်ညဉ့်သ၌ သန်းခေါင်ကျော်အချိန် နိုးလတ်၏။ ဖရိုဖရဲ ပုံပျက် ပန်းပျက် အိပ်မောကျနေသော ကချေသည် မောင်းမများကို မြင်သဖြင့် သုသာန်တစပြင် ကဲ့သို့မြင်ကာ ငြီးငွေ့လာပြီး အဆောင်မှထွက်၍ မိဂဒါဝုန်တောသို့ရောက်လာ၏။ မြတ်စွာ ဘုရားနှင့်တွေ့သဖြင့် တရားဟောသောကြောင့် သောတပန်ဖြစ်လေ၏။ သားပျောက် သဖြင့် ခြေရာခံလိုက်ရှာသော ယသသူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် သုဇာတာတို့သည်လည်း ဘုရားထံရောက်လေသော် တရားနာကြားရ၍ သရဏဂုံတည်ပြီး သောတပန်ဖြစ်လေ၏။
ယသသူဌေးသားသည် အထက်မဂ်သုံးပါးကို အစဉ်အတိုင်းရရှိကာ ရဟန္တာဖြစ်လေ ၏။ သူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် နှစ်ဦးတို့သည် သရဏဂုံသုံးပါးကို ဦးစွာဆောက်တည်ခွင့် ရသူများဖြစ်၏။

ပြခန်း(၉) ယသော်ဓရာကန်တော့ခန်းနှင့် ရာဟုလာအမွေတောင်းခန်း

ယသသူဌေးသားသည် မိန်းမတို့သာဖျော်ဖြေသော ဂီတသဘင်တို့ဖြင့် လောကီ စည်းစိမ်ခံစားနေစဉ် တစ်ညဉ့်သ၌ သန်းခေါင်ကျော်အချိန် နိုးလတ်၏။ ဖရိုဖရဲ ပုံပျက် ပန်းပျက် အိပ်မောကျနေသော ကချေသည် မောင်းမများကို မြင်သဖြင့် သုသာန်တစပြင် ကဲ့သို့မြင်ကာ ငြီးငွေ့လာပြီး အဆောင်မှထွက်၍ မိဂဒါဝုန်တောသို့ရောက်လာ၏။ မြတ်စွာ ဘုရားနှင့်တွေ့သဖြင့် တရားဟောသောကြောင့် သောတပန်ဖြစ်လေ၏။ သားပျောက် သဖြင့် ခြေရာခံလိုက်ရှာသော ယသသူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် သုဇာတာတို့သည်လည်း ဘုရားထံရောက်လေသော် တရားနာကြားရ၍ သရဏဂုံတည်ပြီး သောတပန်ဖြစ်လေ၏။
ယသသူဌေးသားသည် အထက်မဂ်သုံးပါးကို အစဉ်အတိုင်းရရှိကာ ရဟန္တာဖြစ်လေ ၏။ သူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် နှစ်ဦးတို့သည် သရဏဂုံသုံးပါးကို ဦးစွာဆောက်တည်ခွင့် ရသူများဖြစ်၏။

ပြခန်း(၁၀) ရောဟီဏီမြစ်ဝှမ်းတွင် ငြိမ်းချမ်းရေးတရားဟောတော်မူခန်း
ကပိလဝတ်ပြည်နှင့် ကောလိယပြည် နှစ်ပြည်ထောင်အကြား ရောဟီဏီမြစ်ရေကို အကြောင်းပြု၍ နှစ်ပြည်ထောင် လယ်သမားတို့ မြစ်ရေခွဲဝေယူရေးအတွက် အငြင်းပွားကြ၏။ ဤအငြင်းပွားမှုကြောင့် နှစ်ပြည်ထောင်မင်းတို့ စစ်ခင်းရန် ပြင်ဆင်ကြလေသည်။ ထိုအခါ မြတ်စွာဘုရားသည် သွေးချောင်းစီးမည့် အရေးကို မြင်သောကြောင့် နှစ်ပြည်ထောင် စစ်တပ်အကြား ရောဟီဏီမြစ်အထက် ကောင်းကင်ပြင်တွင် ရပ်တော်မူလျက် တန်ဖိုး နည်းသော ရေနှင့်ပတ်သက်၍ တန်ဖိုးမဖြတ်နိုင်သော လူ့အသက်များ မဆုံးရှုံးစေသင့် ကြောင်း ငြိမ်းချမ်းရေးတရား ဟောတော်မူ၏။

ပြခန်း(၁၁) ဘိက္ခုနီသာသနာခွင့်ပြုတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ကပိလဝတ်ပြည်၌ သီတင်းသုံးနေစဉ် မိထွေးတော် ဂေါတမီ သည် မြတ်စွာဘုရားထံ ချဉ်းကပ်၍ ရဟန်းဘောင်သို့ဝင်ခွင့်ပြုရန် သုံးကြိမ်တိုင် လျှောက်ထားသော်လည်း မြတ်စွာဘုရားက ငြင်းပယ်ခဲ့၏။ မြတ်စွာဘုရား ဝေသာလီပြည်၌ သီတင်းသုံးနေစဉ် မိထွေးတော်ဂေါတမီသည် အခြံအရံငါးရာနှင့်တကွ ဆံကိုပယ်လျက် ဖန်ရည်ဆိုးသော ဝတ်ရုံများဆင်မြန်းကာ မြတ်စွာဘုရားထံတော်သို့ လိုက်လာကြ၏။
ညီတော်အာနန္ဒာ၏ လျှောက်ထားတောင်းပန်ချက်အရ မိထွေးတော်ဂေါတမီအား ဂရုဓံတရားရှစ်ပါးကို ဝန်ခံနိုင်လျှင် ပဉ္စင်းခံမှုဖြစ်လေလော့ဟု ဘိက္ခုနီသာသနာကို ခွင့်ပြုတော်မူ၏။

ပြခန်း(၁၂) ခေမာမိဖုရားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
အလှမာန်တက်နေသော ခေမာမိဖုရားသည် ရုပ်အဆင်း၏ မနှစ်သက်စရာ အပြစ် အနာအဆာများကို ဟောကြားလေ့ရှိသော မြတ်စွာဘုရားကို ရှောင်ဖယ်၏။ ဝေဠုဝန် ကျောင်းတော်၏ သာယာလှပပုံ တေးသံကို ကြားရသောကြောင့် ဝေဠုဝန်ကျောင်းတော်သို့ ခေမာမိဖုရား ရောက်လာ၏။
ကျောင်းတော်တွင် မြတ်စွာဘုရားအား ယပ်ခတ်နေသော မိမိထက် သာလွန် လှပသော မိန်းမပျိုကို အံ့ဩစွာတွေ့မြင်လေ၏။ မိမိကြည့်နေစဉ် ထိုမိန်းမပျို၏အဆင်း သည် အိုခြင်း၊ နာခြင်း၊ သေခြင်း အဆင့်ဆင့်ဖောက်ပြန် ပျက်စီးသွားလေသည်။ ခေမာ မိဖုရားသည် သံဝေဂရ၍ မြတ်စွာဘုရား အဆုံးအမတော်ကို နာယူပြီး ရဟန်းပြုလေသည်။

ပြခန်း(၁၃) ရဟန်းများတန်ခိုးပြာဋိဟာမပြရန် ပညတ်တော်မူခန်း
ရာဇဂြိုဟ်သူ‌ဌေးသည် စန္ဒကူးသပိတ်ကို အတောင်ခြောက်ဆယ်မြင့်သော ဝါးထိပ် တွင် ချိတ်ဆွဲကာ ရဟန္တာအမည်ခံသူများသည် ဤသပိတ်ကိုကောင်းကင်မှယူနိုင်ပါက စည်းစိမ်အားလုံးလှူမည့်အပြင် သားမယားနှင့်တကွ ကျွန်ခံမည်ဟုကြေညာ၏။ မည်သူမျှ မယူနိုင်ကြသောအခါ ဤလောက၌ ရဟန္တာမရှိပါ တကားဟု သေသောက်ကြူးသူများက ပြက်ရယ်ပြုကြ၏။
မြတ်စွာဘုရား၏သာသနာကို ထိခိုက်စေနိုင်သော ပြက်ရယ်ပြုသံများကို ကြားရ သောအခါ ရှင်ပိဏ္ဍောလဘာရဒွါဇမထေရ်သည် တန်ခိုးဖြင့် ကောင်းကင်မှသပိတ်ကိုယူလေ သော် ရာဇဂြိုဟ်တစ်မြို့လုံး အုတ်အုတ်ကျက်ကျက်ဖြစ်၏။ ဘုရားရှင်သိလေသော် ရှင်ပိဏ္ဍောလဘာရဒွါဇကို ခေါ်ယူဆုံးမ၍ ရဟန်းတို့အား တန်ခိုးပြာဋိဟာမပြရန် သိက္ခာပုဒ် ပညတ်တော်မူလေ၏။

ပြခန်း(၁၄) အဘိဓမ္မာတရားဟောကြားတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် သတ္တမဝါကို တာဝတိံသာနတ်ပြည်၌ ကပ်တော်မူ၍ ပဏ္ဍုကမ္ဗလာ မြကျောက်ဖျာ၌ ထက်ဝယ်ဖွဲ့ခွေနေတော်မူကာ မယ်တော်နတ်သား အမှူးပြုသော နတ်သိကြားဗြဟ္မာအပေါင်းကို အဘိဓမ္မာတရား ဟောတော်မူ၏။ နေ့စဉ် လူ့ပြည်သို့ ကြွရောက်တော်မူပြီး စန္ဒကူးတော၌ ဆွမ်းဘုန်းပေး၍ နေ့သန့်နေတော်မူစဉ် ရှင်သာရိပုတ္တရာအား အဘိဓမ္မာတရား အကျဉ်းချုပ်ကို ဟောတော်မူနေ၏။ တာဝတိံသာ နတ်ပြည်၌ နိမ္မိတရုပ်ပွားတော်မြတ်က ဆက်လက်ဟောကြားတော်မူနေ၏။ တာဝတိံသာ နတ်ပြည်၌ တစ်ဝါတွင်းလုံး ဟောတော်မူပြီး သီတင်းကျွတ် လပြည့်နေ့၌ လူ့ပြည် သင်္ကဿနဂိုရ်ပြည်သို့ ပတ္တမြားစောင်းတန်းဖြင့် သက်ဆင်းတော်မူ၏။

ပြခန်း(၁၅) ပါလိလေယျကတော၌ တစ်ပါးတည်းစံပျော်တော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ကောသမ္ဗီပြည် ဃောသိတာရုံကျောင်း၌ သတင်းသုံးတော်မူ နေစဉ် ဝိနယဓရ ရဟန်းတစ်ပါးနှင့် ဓမ္မကထိက ရဟန်းတစ်ပါးတို့သည် ဝစ္စကုဋီသန့်သက် ရေခွက်၌ ရေကြွင်းရေကျန် ထားမိသည်မှစ၍ အငြင်းပွားကြ၏။ မြတ်စွာဘုရားဆုံးမတော် မူသော်လည်း မလိုက်နာဘဲ ဆက်လက်အငြင်းပွားနေကြ၏။ ဤရဟန်းနှစ်ပါးကို အကြောင်းပြု၍ သံဃာသင်းကွဲကာ လူပုဂ္ဂိုလ်များပါ အုပ်စုကွဲသွားပြီး ဗြဟ္မာပြည် တိုင်အောင် အုပ်စုကွဲပြားလေ၏။
မြတ်စွာဘုရားသည် သံဃာပရိတ်သတ်တို့ကိုစွန့်ခွာ၍ မိမိတစ်ကိုယ်တည်းသာ ကိန်းအောင်းတော်မူလိုသဖြင့် ပါလိလေယျကတောသို့ ကြွရောက်သီတင်းသုံးစဉ် ပါလိလေယျက ဆင် နှင့် မျောက် တို့က ပြုစုကြလေသည်။

ပြခန်း(၁၆) သိင်္ဂါလသတိုးသားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် စိုသော အဝတ်၊ စိုသော ဆံပင်တို့ဖြင့် အရပ်မျက်နှာတို့ကို ရှိခိုး နေသော သိင်္ဂါလ သတိုးသားကို မြင်တွေ့ရ၏။ အရပ်ခြောက်မျက်နှာကို ရှိခိုးရန် အဖမှာကြားသောကြောင့် ရှိခိုးကြောင်း သိင်္ဂါလ သတိုးသားကဖြေ၏။ ထိုအခါ မြတ်စွာ ဘုရားရှင်က အရပ်ခြောက်မျက်နှာ၏ အဓိပ္ပါယ်နှင့် အရပ်ခြောက်မျက်နှာကို ကိုယ်စား ပြုသော အမိ၊ အဖ၊ ဆရာ၊ ဇနီး၊ ခင်ပွန်း၊ သားသမီး တို့၏ ဝတ္တရားများကို ဟောကြား လေ၏။
(သိင်္ဂါလောဝါဒသုတ်သည် မြန်မာများ ကျင့်သုံးနေသော မိဘဝတ်၊ ဆရာဝတ် စသည်တို့ကို ဖော်ပြထားပါသည်။)

ပြခန်း(၁၇) အက္ကောသဘာရဒွါဇပုဏ္ဏားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
ဘာရဒွါဇအနွယ်ပုဏ္ဏားများ မကြာခဏ ရဟန်းပြုသည်ကို မကျေမချမ်းနိုင်သော အက္ကောသဘာရဒွါဇပုဏ္ဏားကြီးသည် မြတ်စွာဘုရားအပေါ်ကို အမျက်ထွက်ကာ ကြမ်းတမ်းသောစကားများဖြင့် ဆဲရေးလေ၏။
မြတ်စွာဘုရားက သည်းခံတော်မူကာ ပုဏ္ဏားကြီးအား သင့်အိမ်ရောက်လာသော ဆွေမျိုးများသည် သင်ကျွေးမွေးပြုစုသော ခဲဖွယ်ဘောဇဉ်တို့ကို မသုံးဆောင်သော် ထို ခဲဖွယ်ဘောဇဉ်များသည် မည်သူ့ထံ၌ကျန်သနည်းဟုမေး၏။ ပုဏ္ဏားကြီးက မိမိထံ၌သာ ကျန်ကြောင်း ဖြေကြားသော မြတ်စွာဘုရားက သင်၏မယဉ်ကျေးသော ဆဲမျိုးတစ်ရာကို ငါလက်မခံ၊ သင့်ထံသာကျန်ပါစေဟုပြောပြီး အမျက်ထွက်သူကို အမျက်မထွက်ခြင်းဖြင့် အောင်နိုင်ကြောင်း တရားဟောတော်မူ၏။

ပြခန်း(၁၈) ရှင်အာနန္ဒာ၏ပယ်လေးတန်၊ ပန်လေးပါး ဆုရှစ်ပါးတောင်းခံတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရား ဝါတော်နှစ်ဆယ်ရသော် အမြဲတမ်း အလုပ်အကျွေး ရဟန်းတစ်ပါး လိုလာ၏။ မြတ်စွာဘုရားက ငါဘုရားအတွက် အမြဲတမ်း အလုပ်အကျွေးရွေးရန်မိန့်ကြား ၏။ ရဟန်းများက ညီတော်အာနန္ဒာအား မြတ်စွာဘုရားကို လုပ်ကျွေးခွင့်ပြုရန် လျှောက်ထားစေလိုကြောင်း တိုက်တွန်းကြ၏။ ညီတော်အာနန္ဒာက မိမိမလိုလားသော ဆုလေးမျိုးကို ပယ်ခွင့်ရပြီး၊ လိုလားသောဆုလေးမျိုးကို ခွင့်ပြုပါလျှင် လုပ်ကျွေးမည် ဖြစ်ကြောင်းလျှောက်၍ ပယ်ဆုလေးတန်၊ ပန်ဆုလေးပါးတောင်းပြီး အမြဲတမ်း အလုပ်အကျွေးတာဝန်ယူ၍ မြတ်စွာဘုရား ပရိနိဗ္ဗာန်စံသည့်တိုင် လုပ်ကျွေးတော်မူလေ၏။

ပြခန်း(၁၉) ကာလာမသုတ် ဟောတော်မူခန်း
ကာလာမ အမျိုးသားတို့သည် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်၍ အချို့သော သမဏ ဗြဟ္မဏတို့သည် မိမိတို့ဝါဒကိုသာ မှန်ကန်သည်ဟု ဟောပြောလျက် သူတစ်ပါးတို့၏ဝါဒကို ရှုတ်ချကြ၏။ မည်သည့် ပုဂ္ဂိုလ်တို့၏ ဝါဒစကားသည် မှန်သနည်းဟုလျှောက်သော် မြတ်စွာ ဘုရားက ပြောသံကြားစကား၊ အစဉ်အဆက်စကား၊ စာပေနှင့် ညီညွတ်သည်ဟူသော စကား စသည်ဖြင့် ထိုစကားများကို မယုံကြည်သင့်၊ အပြစ်ရှိသည်ဟု ကိုယ်တိုင်သိသော တရားများကို စွန့်ပယ်၍ ကောင်းကျိုးချမ်းသာခြင်းငှာ ဖြစ်သည်ဟု ကိုယ်တိုင်သိသော တရားများကိုသာ ယုံကြည် ကျင့်ကြံကုန်ရာ၏ဟု “ကေသမုတ္တိသုတ်” ကို ဟောတော်မူ လေ၏။

ပြခန်း(၂၀) ဂိလာနရဟန်းအားပြုစုတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ညီတော်အာနန္ဒာနှင့်အတူ ကျောင်းစဉ်လှည့်လည်သည်ရှိသော် ဝမ်းသက်ရောဂါဖြစ်၍ ကျင်ကြီးကျင်ငယ်တို့ဖြင့် လူးလှိမ့်အိပ်နေသော ရဟန်းကြီးတစ်ပါး ကို မြင်လေ၏။ မြတ်စွာဘုရားက ထိုသူရဟန်းကို မေးမြန်းသော် မိမိတွင် လုပ်ကျွေးမည့်သူ မရှိကြောင်း လျှောက်လေ၏။ မြတ်စွာဘုရားသည် ကိုယ်တိုင်ရေနွေးဖြင့် ဖန်ရေဆေး၍ သူနာပြုတော်မူ၏။
ထိုအကြောင်းကြောင့် ရဟန်းများကို စုဝေးစေပြီးလျှင် ရဟန်းတို့အချင်းချင်း လုပ်ကျွေးပြုစုကုန်ကြလော့၊ ငါဘုရားကိုလုပ်ကျွေးပြုစုလိုသော ရဟန်းသည် နာဖျားသော ရဟန်းကို လုပ်ကျွေးပြုစုရာ၏ဟု ဆုံးမတော်မူလေ၏။

ပြခန်း(၂၁) မာလုကျပုတ္တရဟန်းအားဆုံးမတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ဇေတဝန်ကျောင်းတော်၌ သီတင်းသုံးနေစဉ် အရှင်မာလုကျ ပုတ္တမထေရ်သည် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်ပြီး လောကသည်မြဲ၏၊ မမြဲ၏၊ အစရှိသည် တို့ကို မြတ်စွာဘုရားသည် မဟောကြားသေး၊ မြတ်စွာဘုရား မသိငြားအံ့ မသိဟု ဝန်ခံရန်၊ အကယ်၍မဟောကြားလျှင် မိမိလူထွက်တော့မည်ဟု လျှောက်ထား၏။ မြတ်စွာဘုရားက မာလုကျပုတ္တအား “အကျိုးစီးပွားနှင့်မစပ်သည်တို့ကို ငါမဟောကြား၊ လောကသည် မြဲသည်ဖြစ်စေ မမြဲသည်ဖြစ်စေ ဇာတိ၊ ဇရာ၊ ဗျာတိ၊ မရဏ တရားတို့သည် တွေ့စမြဲ ဖြစ်သည်။ မြားပစ်ခံရသူသည် မြားပစ်ရာအရပ်၊ မြားပစ်သူ၊ လင်းလေး၊ ဒူးလေး စသည် တို့ကိုသိမှ မြားနုတ်အံ့ဟု ဆိုချေသော် သေရာသာရှိ၏။ ခန္ဓာကိုယ်၏ဆင်းရဲခြင်းများကို မျက်မှောက်ဘဝ၌ပင် တွေ့ကြုံရသည်ဖြစ်၍ ငါဟောကြားသည်ကို ဟောကြားသည့် အတိုင်း မဟောကြားသည်ကို မဟောကြားသည့်အတိုင်းသာမှတ်လော့”ဟု ဆုံးမတော်မူ ၏။

ပြခန်း(၂၂) မဟာသာလပုဏ္ဏားကြီးကို ဂါထာသင်ကြားပေးခန်း
အသပြာရှစ်သိန်းကြွယ်ဝသော မဟာသာလ ပုဏ္ဏားကြီးသည် ဥစ္စာတို့ကို သားများအား အမွေအဖြစ် ခွဲဝေပေးလိုက်၏။ ဥစ္စာမရှိတော့သော ပုဏ္ဏားကြီးကို သားများက စွန့်ပယ်ထားသောအခါ ပုဏ္ဏားကြီးသည် ဆင်းရဲပင်ပန်းစွာ လှည့်လည်ရှာဖွေ စားသောက်နေရ၏။ ပုဏ္ဏားကြီးသည် မြတ်စွာဘုရားထံရောက်လာသော် မြတ်စွာဘုရားက ဂါထာလေးပုဒ် သင်ကြားပေး၏။ ပုဏ္ဏားကြီးသည် ထိုဂါထာများကို ပရိသတ်စုံရာသဘင်၌ ရွတ်ဆိုသော် မြို့သူမြို့သားများက သားများကို ခြိမ်းခြောက်မောင်းမဲ ပြစ်တင်ကြလေ၏။ သားများလည်း အသိတရားဖြစ်ကာ ဖခင်ပုဏ္ဏားအား ပြန်လည်ကျွေးမွေးပြုစုကြကုန်၏။ ပုဏ္ဏားကြီးလည်း မိမိရသော ပုဆိုးတို့ကို မြတ်စွာဘုရားအား ဆရာစားအဖြစ် လှူဒါန်း၍ ဘုရားထံ၌ ဥပသကာအဖြစ် ခံယူလေ၏။

ပြခန်း(၂၃) ပဉ္စဂ္ဂပုဏ္ဏားထံမှ ဆွမ်းခံတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ပဉ္စဂ္ဂပုဏ္ဏားကြီး ထမင်းစားနေစဉ် ဆွမ်းခံကြွလာ၏။ ပုဏ္ဏားမကြီး က ကန်တော့ဆွမ်းဟူသော အမူအရာကို ပုဏ္ဏားကြီးမမြင်အောင် ပြလေ၏။ ပုဏ္ဏားကြီးသိလေသော် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်ပြီး၊ မိမိစားဆဲထမင်းသာလျင်ရှိပါ၏။ မြတ်စွာဘုရားကို အဦးမလှူရသဖြင့် လျှောက်ပတ်ပါမည်လော၊ လက်ခံနိုင်ပါမည်လောဟု လျှောက်၏။ မြတ်စွာဘုရားက ဆွမ်းဦးကိုလည်းကောင်း၊ စားဆဲကိုလည်းကောင်း၊ စားပြီး ကျန်ကြွင်းသောဆွမ်းကိုလည်းကောင်း လှူရန်လျှောက်ပတ်၏။ အလှူခံ ရဟန်းပုဏ္ဏား တို့သည် လှူသောဆွမ်းကိုချီးမွမ်းခြင်း၊ ကဲ့ရဲ့ခြင်း မပြုသင့်ဟု ဟောကြားတော်မူ၏။

ပြခန်း(၂၄) ဒေဝဒတ် သံဃာသင်းခွဲခန်း
ဒေဝဒတ်သည် မြတ်စွာဘုရားနှင့် စင်ပြိုင်ပြုလိုသောအကြံဖြင့် မြတ်စွာဘုရား ထံမှောက် သွားရောက်ကာ ရဟန်းများ သတ်သတ်လွတ်စားရန်၊ ပံသကူသင်္ကန်းဆောင်ရန်၊ ရုက္ခမူဓူတင်ဆောင်ရန် စသော ငါးပါးသောဝတ္ထုတို့ကိုတောင်း၏။ မြတ်စွာဘုရားက ခွင့်မပြုသောအခါ မြတ်စွာဘုရားသည် ရဟန်းတို့အား လာဘ်ပေါများခြင်း အကျိုးငှာသာ ပြု၏ဟု ကဲ့ရဲ့၍ မိမိနှင့် သဘောတူသော ရဟန်းများကိုခေါ်ယူလျက် သံဃာသင်းခွဲကာ မြတ်စွာဘုရားထံမှ ထွက်ခွာသွားလေ၏။ ဤအကုသိုလ်ကြောင့် ဒေဝဒတ်သည် မြေမြိုခံရ လေသည်။

ပြခန်း(၂၅) အဇာတသတ် ကန်တော့ခန်း
ခမည်းတော် ဗိမ္ဗိသာရမင်းကိုသတ်မိသော အဇာတသတ်၏ စိတ်သည် မတည်မငြိမ် ဖြစ်နေသည်။ မိမိ၏စိတ် အေးချမ်း တည်ငြိမ်စေရန်အတွက် အားကိုးရာရှာ၏။ ဆရာဇီဝကသည် တန်ဆောင်းမုန်းလပြည့်ည တွင် ဆင်မယာဉ်သာ ၅၀၀ ကို မောင်းမ ၅၀၀ စီးနင်းစေ၍ အဇာတသတ်ကို ခြံရံစေကာ မြတ်စွာဘုရားထံ ပို့လေ၏။ ၁၂၅၀သောသံဃာတို့၏ အလယ်၌ရှိသော မြတ်စွာဘုရားကို ဖူးမြော်ရ၍ သံဃာပရိတ်သတ်၏ ငြိမ်သက်မှုကို ဖူးမြင်ရသည့်အခါ နှစ်သက်ကြည်ညို သဒ္ဓါပိုကာ ဝမ်းမြောက်ဝမ်းသာ ဥဒါန်းကျူးရင့်လေသည်။ မြတ်စွာဘုရား၏ တရားကို နာကြားရသောကြောင့် ဥပသကာအဖြစ် ခံယူလေ၏။

ပြခန်း(၂၆) အရှင်သာရိပုတ္တရာ၏ ချီးမွမ်းလျှောက်ထားခန်း
အရှင်သာရိပုတ္တရာသည် မြတ်စွာဘုရား၏ သဗ္ဗညုတဉာဏ်တော်ကို ကြည်ညိုတော် မူကာ မြတ်စွာဘုရားနှင့်တူသူ ယခင်ကလည်းမရှိခဲ့၊ ယခုလည်းမရှိ၊ နောင်တွင်လည်းရှိမည် မဟုတ်ဟု ဝမ်းသာအားရ ချီးပလျှောက်ထားလေ၏။
မြတ်စွာဘုရားက ပွင့်တော်မူပြီး၊ ပွင့်တော်မူဆဲ၊ ပွင့်တော်မူလတ္တံ့သော ဘုရားများ၏ စိတ်ကို သင်သိနိုင်ပါသလောဟုမေး၏။ အရှင်သာရိပုတ္တရာက မသိနိုင်ပါကြောင်း လျှောက်ထား၏။ သို့ပါလျက် ထိုစကားကို အဘယ့်ကြောင့်ပြောရသနည်းဟု မေးမြန်းလေ ၏။ အရှင်သာရိပုတ္တရာက အရှင်ဘုရားသည် အကြွင်းမဲ့ဥဿုံ သိတော်မူသည်ဟု တပည့်တော်ယုံကြည် ကြည်ညို၍ ဤကဲ့သို့သော ရဲရဲရင့်ရင့်စကားဖြင့် လျှောက်ထားရခြင်း ဖြစ်ပါ၏ဟု လျှောက်တော်မူလေသည်။

ပြခန်း(၂၇) အမ္ဗပါလီ၏ဆွမ်းပင့်လျှောက်ထားခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ဝေသာလီပြည် အမ္ဗပါလီ၏ သရက်ဥယျာဉ်၌ သီတင်းသုံးနေစဉ် အမ္ဗပါလီ ပြည့်တန်ဆာမသည် မြတ်စွာဘုရားထံ ဆွမ်းဖိတ်လေ၏။ မြတ်စွာဘုရားက လက်ခံတော်မူ၏။ လိစ္ဆဝီမင်းများက အမ္ဗပါလီထံမှ ထိုဆွမ်းလှူခွင့်ကို အသပြာပေး၍ ဝယ်ကြလေ၏။
အမ္ဗပါလီက ငြင်းပယ်သောအခါ လိစ္ဆဝီမင်းများသည် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်၍ ဆွမ်းဖိတ်လျှောက်ထားပြန်၏။ မြတ်စွာဘုရားက အမ္ဗပါလီ၏ ဆွမ်းကိုလက်ခံပြီးဖြစ်သည် ဟု မိန့်ကြားလျက် လိစ္ဆဝီမင်းများ၏ လျှောက်ထားချက်ကို ငြင်းပယ်တော်မူလေသည်။

ပြခန်း(၂၈) ပရိနိဗ္ဗာန်စံတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် သက်တော် ၈၀၊ ဝါတော် ၄၅ ဝါတွင် အာယုသင်္ခါရ လွှတ်တော် မူ၏။ ကုသိနာရုံသို့ ရဟန်းများခြံရံလျက် ကြွတော်မူရာ ဝမ်းတော်လားနေသော်လည်း ဝေဒနာကို သည်းခံ၏။ ရဟန်းများစုံညီစေ၍ ပစ္ဆိမဝစန နောက်ဆုံးစကား မိန့်ကြားတော် မူပြီးလျှင် မလ္လာမင်းတို့၏ အင်ကြင်းဥယျာဉ်၌ မဟာသက္ကရာဇ် ၁၄၈ ခုနှစ်၊ ကဆုန်လပြည့် အင်္ဂါနေ့တွင် ပရိနိဗ္ဗာန်စံတော်မူ၏။
ကဆုန်လပြည့်ကျော် တစ်ဆယ့်နှစ်ရက် တနင်္ဂနွေနေ့တွင် တေဇောဓါတ် လောင်တော်မူ၏။ ကြွင်းကျန်ရစ်သော ဓါတ်တော်များကို ရလိုမှုဖြင့် မင်းများက စစ်ပြင်ကြ၏။ မင်းတို့၏ ဆရာဖြစ်သော ဒေါဏပုဏ္ဏားကြီးက ဓါတ်တော်များကို ညီမျှစွာ ခွဲဝေပေးလေ၏။ ပုဏ္ဏားကြီးမူကား ဓါတ်တော်ခြင်သောခွက်ကိုသာရလေ၏။

28 ภาพเขียนแสดงการสะสมคุณความดีของพระพุทธเจ้า
จิตรกรรมฝาผนัง 6 ภาพซึ่งแสดงถึงสภาแรก