มหาพุทธเจ้าห้องนิทรรศการ

ที่ตั้ง
วันที่เปิดทำการ
ห้องแสดงพระมหาพุทธศิลป์ตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของเจดีย์ชเวดากองและเปิดให้ประชาชนทั่ไปเข้าชมห้องโถงใหญ่แห่งนี้เดิมเคยเป็นห้องแสดงพระธรรมเจดีย์ชเวดากองในปี1989รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการสำคัญ3โครงการที่เกี่ยวข้องกับเจดีย์ชเวดากองโดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเหล่านี้การปรับปรุงและก่อสร้างห้องแสดงพระมหาพุทธศิลป์เริ่มขึ้นเมื่อวันที่1ตุลาคมโดยเปลี่ยนห้องแสดงพระธรรมเจดีย์ชเวดากองเดิมเป็นห้องแสดงพระมหาพุทธศิลป์ 2 ชั้น ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 17 เมษายน 1991.
ชั้นล่างของห้องแสดงพระพุทธเจ้ามี28ห้องจัดแสดงเหตุการณ์สำคัญต่างๆในพระพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าเช่นการปฏิสนธิและประสูติการดำเนินชีวิตในพระราชวังการสละพระชนม์ชีพ การบำเพ็ญตบะ การเห็นนิมิตการตรัสรู้การแสดงปฐมเทศนาการอุปสมบทของพระยัสและพวกพ้องการบริจาคของพระยโสธรการอุปสมบทของพระราหุลการสอนที่แม่น้ำโรหินีเพื่อสันติภาพการสถาปนาคณะภิกษุณีคำแนะนำที่พระนางเขมะทรงสั่งสอนการห้ามพระภิกษุทำสิ่งอัศจรรย์การสอนพระอภิธรรมการประทับอยู่ป่าปริลัยยกะอย่างสันโดษคำสอนของสิกัลคำสอนของอักโกสะภรัทวาชพราหมณ์คำขอของพระอานันทม เทศนาของกาลามสูตร การดูแลพระภิกษุที่เจ็บป่วย คำสอนของพระมลักษมีคำสอนของมหาศาลาการรับบิณฑบาตจากพระภิกษุ5รูปความแตกแยกที่เกิดจากพระเทวทัตความภักดีของกษัตริย์อชาตสัตว์การสรรเสริญพระสารีบุตรการถวายเครื่องบูชาของพระอัมพปาลีและนิพพานครั้งสุดท้ายของพระองค์เหตุการณ์เหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านภาพวาดประติมากรรมและแบบจำลองพร้อมด้วยระบบแสงและเสียงหลากสีสันนอกจากนี้ยังมีแผนที่แสดงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากพุทธคยาไปยังเมียนมาร์ชั้นบนมีภาพวาด 28 ภาพซึ่งแสดงถึงการสะสมบารมีขอพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า และจิตรกรรมฝาผนัง 6 ภาพซึ่งแสดงถึงการสังคายนาครั้งแรก.

- ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า 1 ถึง 10
- ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า 11 ถึง 20
- ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า 21 ถึง 30
- ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า 31 ถึง 40
- ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า 41 ถึง 50
- ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า 51 ถึง 60
- ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า 61 ถึง 70
- ขั้นตอนโดยย่อของพระพุทธเจ้าโคตมพุทธเจ้า 71 ถึง 80
1 | ชีวิตนักพยากรณ์เพื่อบรรลุเป็นพระโคตมพุทธเจ้า | ชีวิตของฤๅษีสุเมธา |
2 | พระพุทธพจน์พุทธโอวาท | ท่านลอร์ดทีปนิการา |
3 | วันประกาศคำทำนาย | วันเพ็ญเดือนกะซอน(เดือนพฤษภาคม) |
4 | สถานที่เกิดของฤๅษีสุเมธา | ประเทศอมราวดี |
5 | สถานที่ประกาศคำทำนาย | เมืองพระราม |
6 | ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าในอนาคต | พระเจ้าไวศานตร |
7 | การปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต | ความรู้ทางโลกความรู้ทางปัญญาและความรู้ทางพุทธ |
8 | ชื่อภรรยาพระพุทธเจ้าในอนาคต | สุมิตา(เจ้าหญิงยโสธรา) |
9 | ระยะเวลาของการฝึกฝนและความพยายาม |
สี่กัปและหนึ่งแสนโลก(อาณาจักรหรือโลกนับไม่ถ้วนในพุ ทธศาสนา) |
10 | จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าในอนาคต | เพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับโลก |
11 | บารมีสิบประการ (ปารมิตา) |
ความมีน้ำใจ (ดาน ปารมี), ศีลธรรม (สีละ ปารมี), ความสละ (เนกขัมมะ ปารมี), ปัญญา (ปัญญา ปารมี), ความเพียร (วิริยะ ปารมี), ความอดทน (ขันติ ปารมี), ความสัตย์จริง (สัจจะ ปารมี), ความเด็ดเดี่ยว (อทิตฐาน ปารามี), ความรักความเมตตา (เมตตา ปารมี), ความอุเบกขา (อุเบกขาปารมี)
|
12 | การละทิ้งอย่างถาวร | วัสดุ ลูก ภรรยา ส่วนของร่างกาย ชีวิต |
13 | ชีวิตก่อนเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต | ในแดนสวรรค์ดุสิตามีเทพองค์หนึ่งพระนามว่าสัตตกัฏฏุ |
14 | การเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ | เมื่อถึงวันพฤหัสขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ยุคมหาราช (67) |
15 | อาณาจักรพระพุทธเจ้าในอนาคต | แคว้นมิซซิมาประเทศสักตันอาณาจักรกบิลพัสดุ์(เนปาล) |
16 | เมืองที่พระพุทธเจ้าในอนาคตประสูติ | ระหว่างดินแดนกบิลพัสดุ์และดินแดนเทวเทวะ |
17 | สถานที่เกิด | ในสวนต้นเสลาลุมพินี |
18 | วันเกิด | วันศุกร์วันเพ็ญเดือนกาศนปีที่68 แห่งมหาสักกะราชา |
19 | เกิดมาด้วยกัน |
พี่อานันทต้นโพธิ์เจ้าอาวาสกาลูยีพระมเหสีในอนาคต (ยโสธรา)ข้าราชบริพารท่านจันนะหม้อทองคำขนาดใหญ่ 4 ใบ พระม้าคันตกะ |
20 | เชื้อสาย | ราชวงศ์ |
21 |
พระนามพระพุทธเจ้าในอนาคต |
พระสิทธัตถะ (สามารถสนองความต้องการทุกประการ) |
22 |
พระบิดาแห่งพระพุทธเจ้าในอนาคต |
พระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ปกครองแคว้นกบิลพัสดุ์ |
23 |
พระมารดาของพระพุทธเจ้าในอนาคต |
พระศรีมหามายาเทวี |
24 |
แม่เลี้ยงของพระพุทธเจ้าในอนาคต |
มหาปชาบดีโคตมี (น้องสาวของพระศรีมหามยาเทวี) |
25 |
ภรรยา |
ยโสธารา (หรือที่รู้จักในชื่อ ภัททะ กริชณะ) |
26 |
ลูกชาย |
ราหุล |
27 |
วันที่แม่เสียชีวิต |
วันที่ 7 หลังการประสูติของพระพุทธองค์ในอนาคต |
28 |
อายุที่พระพุทธเจ้าในอนาคตจะทรงแต่งงาน |
อายุ (16) ปี. |
29 |
พ่อแม่ของยโสธร |
พระเจ้าสุปาพุทธะแห่งเทวทหะและพระอมิตาเทวี |
30 |
จำนวนปีแห่งการครองราชย์ของพระพุทธเจ้าในอนาคต |
(13) ปี (อายุ –16 ถึง 29) |
31 |
สามพระราชวัง |
รามมะ (พระราชวังฤดูหนาว), สุรัมม(พระราชวังฤดูร้อน), สุภา (พระราชวังฤดูฝน) |
32 |
ลางบอกเหตุทั้งสี่ |
ชายชรา, ชายป่วย, ชายที่เสียชีวิต, นักพรต |
33 |
ยุคแห่งการละทิ้งชีวิตทางโลก |
อายุ (29) ปี |
34 |
ปีแห่งการละทิ้งชีวิตทางโลก |
ปีแห่งมหายุค (97) |
35 |
เดือน วัน และเวลาที่จะสละชีวิตทางโลก |
เที่ยงคืนวันจันทร์ วันเพ็ญเดือนวโส |
36 |
ผู้ช่วยในการละทิ้งชีวิตทางโลก |
ข้าราชบริพารชานนะและขันธ์ม้าหลวงที่เกิดมาพร้อมกัน กับพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป |
37 |
มารผู้ห้ามพระโพธิสัตว์ไม่ให้ละทิ้งชีวิตทางโลก |
ปีศาจ |
38 |
ผู้ที่ถวายผ้าจีวรแด่พระโพธิสัตว์ |
พระเจ้ากาฏกฤษณะพรหม |
39 |
สถานที่ตัดพระเกศาโพธิสัตว์ |
ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา |
40 |
บุคคลผู้รับพระเกศาธาตุของพระโพธิสัตว์ |
พระอินทร์ |
41 |
เจดีย์ที่เก็บพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า |
เจดีย์สุลามณี (สวรรค์ตวาติมสา) |
42 |
ผู้รับจีวรพระพุทธเจ้า |
พระราชาพรหมทรงเรียกการ์ถิกายะว่า |
43 |
เจดีย์ที่เก็บจีวรของพระพุทธเจ้า |
เจดีย์ดูสา (ดินแดนพรหม) |
44 |
ความหมายของความเคร่งครัดเคร่งครัด |
นิสัยที่ยากจะปฏิบัติสำหรับคนทั่วไป |
45 |
สถานที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด |
ป่าอุรุไวลา |
46 |
รวมปีที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด |
6 ปี (มหายุค 97-103) |
47 |
ผู้ที่บริจาคนมอาลัมให้กับพระพุทธเจ้า |
หญิงรวยคนหนึ่งที่เรียกทูซาทาร์ว่า |
48 |
สถานที่บริจาคนมวัวให้พระพุทธเจ้า |
อาซาปาลา เสต็กยอง โคนต้นไทร |
49 |
แม่น้ำที่ถ้วยทองลอยอยู่ |
แม่น้ำนารันจาระ |
50 |
ผู้ที่บริจาคหญ้าแปดกำมือให้กับพระพุทธเจ้า |
พราหมณ์คนหนึ่งซึ่งกำลังเกี่ยวหญ้า เรียกว่า ทวติยะ (Thoot Hti Ya) |
51 |
ผู้ที่เกือบจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วมารบกวน |
ปีศาจ |
52 |
ได้รับความรู้ |
ในยามกลางดึกพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความรู้แห่งอดีตชาติ ในยามสุดท้ายแห่งกลางคืนพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความรู้แห่ งการทำลายมลทินและบรรลุพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันสูงสุด |
53 |
วัยแห่งการบรรลุธรรม |
อายุ 35 ปี |
54 |
ปีแห่งการได้เป็นพระพุทธเจ้า |
ยุคมหาราช 103 |
55 |
เดือน วัน และเวลาที่จะอุปสมบท |
วันเพ็ญเดือนกะซอน รุ่งอรุณของวันพุธ |
56 |
สถานที่ที่กลายมาเป็นพระพุทธเจ้า |
บัลลังก์สมบัติที่เรียกว่า อปาราหิตา อยู่เชิงต้นมหาโพธิ์ |
57 |
การสำเร็จการศึกษาของพระพุทธเจ้า |
พระโคตมพุทธเจ้า |
58 |
ยุคที่พระพุทธเจ้าเจริญ |
หนึ่งร้อยปี |
59 |
สถานที่แสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก |
ที่ป่าเมกาดาวอนในดินแดนบารยานาธี |
60 |
วันเดือนเวลาที่พระธรรมเทศนา |
มหาศักราช 103 วันเพ็ญเดือนวูดู ก่อนพระอาทิตย์ตกในวันเสาร์ |
61 |
ประชาชนผู้ฟังธรรมสักกะ |
ในหมู่คนมีพระฤๅษี ภูติผีปีศาจ และพรหม 5 รูป |
62 |
ชื่อของฤๅษีทั้งห้า |
Ashin Kawnanya, Ashin Wappa, Ashin Baddhiya, Ashin Mahar Nam and Ashin Athhazi |
63 |
บุคคลแรกที่ก่อตั้งซารานากอนสองแห่ง |
จากหมู่บ้านOkkalapa(บางคนเชื่อว่าปัจจุบันคือเมือง ย่างกุ้ง)Taputsa(Taputsa)และBallika(Banlik)เป็น พี่น้องพ่อค้าสองคน |
64 |
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้ |
พระเกศาธาตุทั้งแปดของพระองค์ |
65 |
เจดีย์ที่เก็บพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า |
ที่พระเจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้ง |
66 |
บุคคลแรกที่ก่อตั้งสามซารานากอน |
หนุ่มรวย ยศสา และครอบครัว |
67 |
ความสำเร็จทั้งแปดประการ |
ปีศาจ ยักษ์ที่เรียก Arlawakka ช้างที่เรียก Nalargiri คนเลวที่เรียก Ingulimarla ผู้หญิงเลวที่เรียก Seinsamana ราชาแห่งมังกรที่เรียก Nandawpananda บากา Braham และ Thitsakkaprivize |
68 |
สาวกะผู้เป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่หลุดพ้นจากปัญหาชี วิตทางโลก |
อาชิน ขวัญญา และ ศุภพัทธ์ไพรเวท |
69 |
ฝั่งขวาของอัคคถสาวกะ |
พระสารีบุตร |
70 |
ด้านซ้ายของอัคคถสาวกะ |
พระโมคคัลลาน |
71 |
การสอนศาสนา |
ศาสนาปาริยติ ศาสนาปาติปัตติ ศาสนาปาติเวช |
72 |
กฎเกณฑ์ทางจริยธรรม |
ศีลธรรม ความซื่อสัตย์ และปัญญา |
73 |
กฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ |
ทางสายกลาง (หลักธรรมที่เป็นธรรม) |
74 |
ปีที่ต้องปฏิบัติธรรมต่อโลกภายหลังที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า |
อายุ 45 ปี |
75 |
อายุพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จปรินิพพาน |
80 ปี |
76 |
ปี วัน เดือน เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน |
มหาศักราช๑๔๘วันเพ็ญเดือนกะซอและรุ่งอรุณของวั นอังคาร |
77 |
สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน |
ดินแดนกุสินารา ป่าต้นสาละของกษัตริย์มัลละ |
78 |
ปีเดือน วัน เวลาที่พระสรีระของพระพุทธเจ้าถูกไฟเผาไหม้ |
มหาศักราช ๑๔๘ ข้างแรมของเดือนกะซอน (๑๒) วันอาทิตย์ |
79 |
หลังจากพระบรมสารีริกธาตุถูกไฟเผาจนหมดสิ้นแล้ว |
ตะกร้า 2 ใบ (หน่วยตวงแบบพม่า) |
80 |
จุดมุ่งหมายที่พระผู้มีพระภาคได้บรรลุพระพุทธภาวะเพื่อช่ วยเหลือสัตว์ที่เหลืออยู่ |
เพื่อจะได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุและเพื่อประโยชน์สุขค วามเจริญแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย |
81 |
คำพูดสุดท้ายของพระพุทธเจ้า |
จงระวังทุกสิ่งอย่างเพราะทุกรูปแบบและทุกชื่อที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมถูกทำลายได้ |
မဟာဗုဒ္ဓဝင်ပြခန်းတွင် ပြသထားသော
ဗုဒ္ဓဖြစ်တော်စဉ်ပြခန်း (၂၈)ခန်း

- ပြခန်း (၁)
- ပြခန်း (၂)
- ပြခန်း (၃)
- ပြခန်း (၄)
- ပြခန်း (၅)
- ပြခန်း (၆)
- ပြခန်း (၇)
- ပြခန်း (၈)
- ပြခန်း (၉)
- ပြခန်း (၁၀)
- ပြခန်း (၁၁)
- ပြခန်း (၁၂)
- ပြခန်း (၁၃)
- ပြခန်း (၁၄)
မဟာသက္ကရာဇ် ၆၇ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်၊ ကြာသပတေးနေ့ မိုးသောက်ယံ၌ သီရိမာယာဒေဝီ မိဖုရားခေါင်ကြီး၏ ဝမ်းကြာတိုက်သို့ မြတ်သောဆင်ဖြူတော်သည် လက်ယာရစ်လှည့်ပြီးနောက် လက်ယာနံပါးမှ ဝင်ရောက်ကြောင်း အိပ်မက်မြင်တော်မူ၍ အလောင်းတော် သိဒ္ဓတ္ထမင်းသား ပဋိသန္ဓေယူတော်မူ၏။
မဟာသက္ကရာဇ် ၆၈ ခုနှစ်၊ ကဆုန်လပြည့်၊ သောကြာနေ့တွင် ကပ္ပိလဝတ်ပြည်နှင့် ဒေဝဒဟပြည် အကြား လုမ္ဗိနီအင်ကြင်းတော၌ ဘုရားအလောင်းတော် ဖွားမြင်တော်မူ၏။ ဖွားမြင်ပြီးနောက် မြောက်အရပ်သို့ ခုနစ်ဖဝါး လှမ်းကြွတော်မူ၍ “ငါသည် လောကတွင် အမြတ်ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အကြီးအကဲ ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အချီးမွမ်းခံထိုက်ဆုံးသူဖြစ်၏” ဟူသော သုံးခွန်းသော စကားကြုံးဝါး တော်မူ၏။
၂။ ထီးနန်းစိုးစံတော်မူခန်း
အလောင်းတော် သိဒ္ဓတ္ထမင်းသား သက်တော် တစ်ဆယ့်ခြောက်နှစ်ရောက်သော် ခမည်းတော် သုဒ္ဓေါဒနမင်းကြီးသည် သားတော်ကို တောမထွက်စေရန် “ရမ္မ” မည်သော ဆောင်းရာသီစံနန်းပြသာဒ်၊ “သုရမ္မ” မည်သော နွေရာသီစံနန်းပြသာဒ်၊ “သုဘ” မည်သော မိုးရာသီစံနန်းပြသာဒ်များ တည်ဆောက်ပြီး၊ အလှည့်အလည် စံမြန်းစေပါသည်။ ရွှေအဆင်း ကဲ့သို့ လှပသော ယသောဓရာမင်းသမီးနှင့် ထိမ်းမြား ပေးတော်မူပြီး အာရုံငါးပါးတို့ဖြင့် အလွန်သာယာဖွယ်သော အဖျော်အဖြေကို ခံယူစေကာ ထီးနန်းစည်းစိမ်ကို ခံစားစေတော်မူသည်။
၃။ နိမိတ်ကြီးလေးပါး မြင်တော်မူခန်း
မဟာသက္ကရာဇ် ၉၆ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်နေ့တွင် အလောင်းတော်သည် မြင်းလေးစီး ကသော ရထားဖြင့် ဥယျာဉ်တော်သို့ ကြွတော်မူရာ သူအိုတစ်ဦးကို တွေ့မြင်လေ၏။ ထိုအခါ မိမိလည်း ထိုသို့အိုရမည်ကို ဆင်ခြင်တော်မူ၏။ နောက်တစ်ကြိမ်တွင် သူနာတစ်ဦးကို တွေ့မြင်ရပြန်သောအခါ မိမိလည်း ဤသို့နာရမည်ကို ဆင်ခြင်တော်မူ၏။ နောက်တစ်ကြိမ် တွင် သူသေတစ်ဦးကို တွေ့မြင်လေရာ မိမိလည်း ဤသို့သေရမည်ကို စဉ်းစားဆင်ခြင်မိ လေ၏။ နောက်တစ်ကြိမ် ဥယျာဉ်တော်သို့ ထွက်တော်မူရာ ရဟန်းတစ်ပါးကို တွေ့မြင် တော်မူ၍ ရဟန်း၏ အကျင့်သီလသည် သတ္တဝါတို့၏ အကျိုးကို ဖြစ်ထွန်းစေပြီး ဘဝမှ လွတ်မြောက်နိုင်သဖြင့် မိမိလည်း ရဟန်းပြုရန် အဓိဋ္ဌာန်တော်မူ၏။
၄။ တောထွက်တော်မူခန်း
သက်တော် ၂၉ နှစ် ရောက်သောအခါ အလောင်းတော်မင်းသားသည် အိုခြင်း၊ နာခြင်း၊ သေခြင်း တရားတော်တို့ကို ထိတ်လန့်တော်မူသဖြင့် တောထွက်၍ ရဟန်းပြုရန် ဓိဋ္ဌာန်တော်မူ၏။ မဟာသက္ကရာဇ် ၉၇ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်၊ တနင်္လာနေ့ ညဉ့်သန်းခေါင်ယံအချိန်တွင် ဆန္နအမတ်ကိုခေါ်၍ ကဏ္ဍကမြင်းတော်ကို စီးကာ တောထွက်တော်မူ၏။ အနော်မာမြစ်ကမ်းသို့ရောက်သော် တစ်ကိုယ်တည်းကျင့်ကြံအားထုတ်ရန် ရည်သန်၍ မိမိ၏ အဝတ်တန်ဆာများနှင့် ကဏ္ဍကမြင်းကို ဆန္နအမတ်သို့ လွှဲအပ်ပြီး နေပြည်တော်သို့ ပြန်ရန် စေလွှတ်တော်မူ၏။
၅။ ဒုက္ကရစရိယာကျင့်တော်မူခန်း
ဘုရားအလောင်းတော်သည် ဥရုဝေလတောတွင် ဒုက္ကရစရိယာအကျင့်ကို ကျင့်ကြံ အားထုတ်တော်မူ၍ အစဦးတွင် ဆွမ်းခံလှည့်၍စားသုံး၏။ နောင်တွင် အစာအာဟာရကို ခြိုးခြံချွေတာ သုံးဆောင်တော်မူသည်။ တစ်နေ့တာအတွက် ဆန်စေ့တစ်စေ့၊ ပဲနောက်စေ့ တစ်စေ့ (သို့မဟုတ်) ပဲပြုတ်ရည် တစ်ဇွန်းကိုသာ သုံးဆောင်တော်မူ၏။ ဤသို့ကျင့်ကြံသော် အာဟာရဓါတ်နည်းပါးသောကြောင့် ကြုံလှီ ဖျော့တော့ အားအင်ကုန်ခမ်း၍ မျက်နှာတော်နှင့် ဦးခေါင်းတော်သည် ဘူးသီးနုနုနေလှမ်း၍ ရှုံ့ခွက်နေသကဲ့သို့ ဖြစ်၏။ အသားအရေသည် ငါးခူရောင် ကြမ်းပိုးကျောက်ကုန်းအရောင်ဖြင့် ခြောက်သွေ့နေပြီး ကိုယ်ကိုလက်ဖြင့် သုံးသပ်သော် အမွှေးတို့ ကျွတ်ကုန်၏။ နံရိုးတို့သည် ဇရပ်အိုမှ ဖရိုဖရဲကြဲသော အခြင်တို့ ကဲ့သို့ဖြစ်၍ ဝမ်းဗိုက်ကိုကိုင်သော် ခါးဆစ်ကို ကိုင်မိ၏။ တင်ပါးနှစ်ဖက်သည် ကုလားအုပ် ခွာကဲ့သို့ ရှုံ့ခွက်နေ၍ မတ်ရပ်ထသောနေရာ၌ လဲ၍ကျလေသည်။ သဗ္ဗညုတဉာဏ်တော် ရလိုသောကြောင့် ကျင့်နိုင်ခဲလှသော ဒုက္ကရစရိယာအကျင့်ကို ခြောက်နှစတိုင်တိုင် ကျင့်တော်မူ၏။
၆။ ဘုရားဖြစ်တော်မူခန်း
အလောင်းတော်သည် ဒုက္ကရစရိယာအကျင့်ကို ခြောက်နှစ်တိုင်တိုင် ကျင့်သော်လည်း သဗ္ဗညုတဉာဏ် မရနိုင်သဖြင့် မဇ္ဈိမပဋိပဓာ အကျင့်လမ်းကြောင်းပြောင်း၍ အာနပါန စတုတ္ထဈာန်ကို ဝင်စားတော်မူ၏။ ယင်းဈာန်ဝင်စားနိုင်ရန် ဆွမ်းခံလှည့်၍ ရသမျှ အာဟာရကို မျှတဘုန်းပေးတော်မူရ၏။ မဟာသက္ကရာဇ် ၁၀၃ ခု၊ ကဆုန်လပြည့် ဗုဒ္ဓဟူး နေ့တွင် မဟာဗောဓိပင်ရင်း အပရာဇိတပလ္လင်တော်၌ ထက်ဝယ်ဖွဲ့ခွေ ထိုင်နေတော်မူ၍ နေမဝင်မီ မာရ်စစ်သည်တို့ကို အောင်မြင်တော်မူသည်။ ညဉ့်ဦးယံဝယ် “ပုဗ္ဗေနိဝါသဉာဏ်” ရတော်မူ၏။သန်းခေါင်ယံဝယ် “ဒိဗ္ဗစက္ခုဉာဏ်” ရတော်မူ၏။ မိုးသောက်ယံဝယ် “အာသဝက္ခယဉာဏ်” ရတော်မူလျက် ဘုရားအဖြစ်သို့ ရောက်တော်မူ လေသည်။ ထိုအခါ “အနေကဇာတိသံသာရံ” အစချီသော ဥဒါန်းကို ကျူးရင့်တော်မူ၏။
၇။ ဓမ္မစကြာတရားဟောတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားဖြစ်တော်မူပြီးနောက် ကာမဂုဏ်တို့၌ မွေ့လျှော်သော ဤသတ္တဝါများကို တရား ဟောသော် တရားကို လွယ်ကူစွာနားလည်နိုင်ကြမည် မဟုတ်ကုန်။ တရား ဟောလျှင် ပင်ပန်းရုံသာဖြစ်မည်ဟု အကြံဖြစ်လာ၏။ သဟမ္ပတ္တိဗြဟ္မာကြီး တောင်းပန်ချက်အရ တရားဟောရန်သင့်မည့် ပုဂ္ဂိုလ်ကို ကြည့်လတ်သော် ပဉ္စဝဂ္ဂီငါးဦးကိုသာ မြင်လေ၏။ ပဉ္ဏဝဂ္ဂီငါးဦးရှိရာ မိဂဒါဝုန်တောသို့ ဝင်ပြီးနောက် မဟာသက္ကရာဇ် ၁၀၃ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့် စနေနေ့ ညချမ်းနေမင်းလည်း ဝင်လုဆဲကာလ လမင်းလည်း ထွက်ပေါ်လု ဆဲဆဲကာလတွင် “ဒွေ မေ ဘိက္ခဝေ” အစချီသော တရားဦး ဓမ္မစကြာကို ဟောတော်မူ၏။
၈။ ယဿသူဋ္ဌေးသားရဟန်းဖြစ်ခန်း
ယသသူဌေးသားသည် မိန်းမတို့သာဖျော်ဖြေသော ဂီတသဘင်တို့ဖြင့် လောကီ စည်းစိမ်ခံစားနေစဉ် တစ်ညဉ့်သ၌ သန်းခေါင်ကျော်အချိန် နိုးလတ်၏။ ဖရိုဖရဲ ပုံပျက် ပန်းပျက် အိပ်မောကျနေသော ကချေသည် မောင်းမများကို မြင်သဖြင့် သုသာန်တစပြင် ကဲ့သို့မြင်ကာ ငြီးငွေ့လာပြီး အဆောင်မှထွက်၍ မိဂဒါဝုန်တောသို့ရောက်လာ၏။ မြတ်စွာ ဘုရားနှင့်တွေ့သဖြင့် တရားဟောသောကြောင့် သောတပန်ဖြစ်လေ၏။ သားပျောက် သဖြင့် ခြေရာခံလိုက်ရှာသော ယသသူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် သုဇာတာတို့သည်လည်း ဘုရားထံရောက်လေသော် တရားနာကြားရ၍ သရဏဂုံတည်ပြီး သောတပန်ဖြစ်လေ၏။
ယသသူဌေးသားသည် အထက်မဂ်သုံးပါးကို အစဉ်အတိုင်းရရှိကာ ရဟန္တာဖြစ်လေ ၏။ သူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် နှစ်ဦးတို့သည် သရဏဂုံသုံးပါးကို ဦးစွာဆောက်တည်ခွင့် ရသူများဖြစ်၏။
၉။ ယသော်ဓရာကန်တော့ခန်းနှင့် ရာဟုလာအမွေတောင်းခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် အဂ္ဂသာဝကနှစ်ပါးခြံရံလျက် ယသော်ဓရာခန်းမဆောင်သို့ ဝင်လေ၏။ ယသော်ဓရာသည် မြတ်စွာဘုရား၏ ခြေဖမိုးကို ဦးခိုက်၍ ရှိခိုးငိုကြွေးလေ၏။ ခမည်းတော် သုဒ္ဓေါဒနမင်းကြီးက မြတ်စွာဘုရား ဒုက္ကရစရိယကျင့်စဉ်က ခြိုးခြံနေထိုင် သကဲ့သို့ ယသော်ဓရာလည်း ခြိုးခြံနေထိုင်ကြောင်း လျှောက်ထားသော် စန္ဒကိန္နရီဇာတ်ကို ဟောလေသည်။
ယသော်ဓရာသည် သားတော် ရာဟုလာအား ဖခင်ထံမှ အမွေတောင်းခံရန် တိုက်တွန်းလေသော် ရာဟုလာလည်း မြတ်စွာဘုရားရှင်ထံမှ အမွေတောင်း၏။ မြတ်စွာ ဘုရားက အရှင်သာရိပုတ္တရာကို ဥပဇ္ဈာယ်ပြုစေလျက် ရာဟုလာအား သာသနာ့အမွေ အဖြစ် ရှင်သာမဏေ ပြုပေးတော်မူလေသည်။
၁၀။ ရောဟီဏီမြစ်ဝှမ်းတွင် ငြိမ်းချမ်းရေးတရားဟောတော်မူခန်း
ကပိလဝတ်ပြည်နှင့် ကောလိယပြည် နှစ်ပြည်ထောင်အကြား ရောဟီဏီမြစ်ရေကို အကြောင်းပြု၍ နှစ်ပြည်ထောင် လယ်သမားတို့ မြစ်ရေခွဲဝေယူရေးအတွက် အငြင်းပွားကြ၏။ ဤအငြင်းပွားမှုကြောင့် နှစ်ပြည်ထောင်မင်းတို့ စစ်ခင်းရန် ပြင်ဆင်ကြလေသည်။ ထိုအခါ မြတ်စွာဘုရားသည် သွေးချောင်းစီးမည့် အရေးကို မြင်သောကြောင့် နှစ်ပြည်ထောင် စစ်တပ်အကြား ရောဟီဏီမြစ်အထက် ကောင်းကင်ပြင်တွင် ရပ်တော်မူလျက် တန်ဖိုး နည်းသော ရေနှင့်ပတ်သက်၍ တန်ဖိုးမဖြတ်နိုင်သော လူ့အသက်များ မဆုံးရှုံးစေသင့် ကြောင်း ငြိမ်းချမ်းရေးတရား ဟောတော်မူ၏။
၁၁။ ဘိက္ခုနီသာသနာခွင့်ပြုတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ကပိလဝတ်ပြည်၌ သီတင်းသုံးနေစဉ် မိထွေးတော် ဂေါတမီ သည် မြတ်စွာဘုရားထံ ချဉ်းကပ်၍ ရဟန်းဘောင်သို့ဝင်ခွင့်ပြုရန် သုံးကြိမ်တိုင် လျှောက်ထားသော်လည်း မြတ်စွာဘုရားက ငြင်းပယ်ခဲ့၏။ မြတ်စွာဘုရား ဝေသာလီပြည်၌ သီတင်းသုံးနေစဉ် မိထွေးတော်ဂေါတမီသည် အခြံအရံငါးရာနှင့်တကွ ဆံကိုပယ်လျက် ဖန်ရည်ဆိုးသော ဝတ်ရုံများဆင်မြန်းကာ မြတ်စွာဘုရားထံတော်သို့ လိုက်လာကြ၏။
ညီတော်အာနန္ဒာ၏ လျှောက်ထားတောင်းပန်ချက်အရ မိထွေးတော်ဂေါတမီအား ဂရုဓံတရားရှစ်ပါးကို ဝန်ခံနိုင်လျှင် ပဉ္စင်းခံမှုဖြစ်လေလော့ဟု ဘိက္ခုနီသာသနာကို ခွင့်ပြုတော်မူ၏။
၁၂။ ခေမာမိဖုရားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
အလှမာန်တက်နေသော ခေမာမိဖုရားသည် ရုပ်အဆင်း၏ မနှစ်သက်စရာ အပြစ် အနာအဆာများကို ဟောကြားလေ့ရှိသော မြတ်စွာဘုရားကို ရှောင်ဖယ်၏။ ဝေဠုဝန် ကျောင်းတော်၏ သာယာလှပပုံ တေးသံကို ကြားရသောကြောင့် ဝေဠုဝန်ကျောင်းတော်သို့ ခေမာမိဖုရား ရောက်လာ၏။
ကျောင်းတော်တွင် မြတ်စွာဘုရားအား ယပ်ခတ်နေသော မိမိထက် သာလွန် လှပသော မိန်းမပျိုကို အံ့ဩစွာတွေ့မြင်လေ၏။ မိမိကြည့်နေစဉ် ထိုမိန်းမပျို၏အဆင်း သည် အိုခြင်း၊ နာခြင်း၊ သေခြင်း အဆင့်ဆင့်ဖောက်ပြန် ပျက်စီးသွားလေသည်။ ခေမာ မိဖုရားသည် သံဝေဂရ၍ မြတ်စွာဘုရား အဆုံးအမတော်ကို နာယူပြီး ရဟန်းပြုလေသည်။
၁၃။ ရဟန်းများတန်ခိုးပြာဋိဟာမပြရန် ပညတ်တော်မူခန်း
ရာဇဂြိုဟ်သူဌေးသည် စန္ဒကူးသပိတ်ကို အတောင်ခြောက်ဆယ်မြင့်သော ဝါးထိပ် တွင် ချိတ်ဆွဲကာ ရဟန္တာအမည်ခံသူများသည် ဤသပိတ်ကိုကောင်းကင်မှယူနိုင်ပါက စည်းစိမ်အားလုံးလှူမည့်အပြင် သားမယားနှင့်တကွ ကျွန်ခံမည်ဟုကြေညာ၏။ မည်သူမျှ မယူနိုင်ကြသောအခါ ဤလောက၌ ရဟန္တာမရှိပါ တကားဟု သေသောက်ကြူးသူများက ပြက်ရယ်ပြုကြ၏။
မြတ်စွာဘုရား၏သာသနာကို ထိခိုက်စေနိုင်သော ပြက်ရယ်ပြုသံများကို ကြားရ သောအခါ ရှင်ပိဏ္ဍောလဘာရဒွါဇမထေရ်သည် တန်ခိုးဖြင့် ကောင်းကင်မှသပိတ်ကိုယူလေ သော် ရာဇဂြိုဟ်တစ်မြို့လုံး အုတ်အုတ်ကျက်ကျက်ဖြစ်၏။ ဘုရားရှင်သိလေသော် ရှင်ပိဏ္ဍောလဘာရဒွါဇကို ခေါ်ယူဆုံးမ၍ ရဟန်းတို့အား တန်ခိုးပြာဋိဟာမပြရန် သိက္ခာပုဒ် ပညတ်တော်မူလေ၏။
၁၄။ အဘိဓမ္မာတရားဟောကြားတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် သတ္တမဝါကို တာဝတိံသာနတ်ပြည်၌ ကပ်တော်မူ၍ ပဏ္ဍုကမ္ဗလာ မြကျောက်ဖျာ၌ ထက်ဝယ်ဖွဲ့ခွေနေတော်မူကာ မယ်တော်နတ်သား အမှူးပြုသော နတ်သိကြားဗြဟ္မာအပေါင်းကို အဘိဓမ္မာတရား ဟောတော်မူ၏။ နေ့စဉ် လူ့ပြည်သို့ ကြွရောက်တော်မူပြီး စန္ဒကူးတော၌ ဆွမ်းဘုန်းပေး၍ နေ့သန့်နေတော်မူစဉ် ရှင်သာရိပုတ္တရာအား အဘိဓမ္မာတရား အကျဉ်းချုပ်ကို ဟောတော်မူနေ၏။ တာဝတိံသာ နတ်ပြည်၌ နိမ္မိတရုပ်ပွားတော်မြတ်က ဆက်လက်ဟောကြားတော်မူနေ၏။ တာဝတိံသာ နတ်ပြည်၌ တစ်ဝါတွင်းလုံး ဟောတော်မူပြီး သီတင်းကျွတ် လပြည့်နေ့၌ လူ့ပြည် သင်္ကဿနဂိုရ်ပြည်သို့ ပတ္တမြားစောင်းတန်းဖြင့် သက်ဆင်းတော်မူ၏။
- ပြခန်း (၁၅)
- ပြခန်း (၁၆)
- ပြခန်း (၁၇)
- ပြခန်း (၁၈)
- ပြခန်း (၁၉)
- ပြခန်း (၂၀)
- ပြခန်း (၂၁)
- ပြခန်း (၂၂)
- ပြခန်း (၂၃)
- ပြခန်း (၂၄)
- ပြခန်း (၂၅)
- ပြခန်း (၂၆)
- ပြခန်း (၂၇)
- ပြခန်း (၂၈)
၁၅။ ပါလိလေယျကတော၌ တစ်ပါးတည်းစံပျော်တော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ကောသမ္ဗီပြည် ဃောသိတာရုံကျောင်း၌ သတင်းသုံးတော်မူ နေစဉ် ဝိနယဓရ ရဟန်းတစ်ပါးနှင့် ဓမ္မကထိက ရဟန်းတစ်ပါးတို့သည် ဝစ္စကုဋီသန့်သက် ရေခွက်၌ ရေကြွင်းရေကျန် ထားမိသည်မှစ၍ အငြင်းပွားကြ၏။ မြတ်စွာဘုရားဆုံးမတော် မူသော်လည်း မလိုက်နာဘဲ ဆက်လက်အငြင်းပွားနေကြ၏။ ဤရဟန်းနှစ်ပါးကို အကြောင်းပြု၍ သံဃာသင်းကွဲကာ လူပုဂ္ဂိုလ်များပါ အုပ်စုကွဲသွားပြီး ဗြဟ္မာပြည် တိုင်အောင် အုပ်စုကွဲပြားလေ၏။
မြတ်စွာဘုရားသည် သံဃာပရိတ်သတ်တို့ကိုစွန့်ခွာ၍ မိမိတစ်ကိုယ်တည်းသာ ကိန်းအောင်းတော်မူလိုသဖြင့် ပါလိလေယျကတောသို့ ကြွရောက်သီတင်းသုံးစဉ် ပါလိလေယျက ဆင် နှင့် မျောက် တို့က ပြုစုကြလေသည်။
၁၆။ သိင်္ဂါလသတိုးသားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် စိုသော အဝတ်၊ စိုသော ဆံပင်တို့ဖြင့် အရပ်မျက်နှာတို့ကို ရှိခိုး နေသော သိင်္ဂါလ သတိုးသားကို မြင်တွေ့ရ၏။ အရပ်ခြောက်မျက်နှာကို ရှိခိုးရန် အဖမှာကြားသောကြောင့် ရှိခိုးကြောင်း သိင်္ဂါလ သတိုးသားကဖြေ၏။ ထိုအခါ မြတ်စွာ ဘုရားရှင်က အရပ်ခြောက်မျက်နှာ၏ အဓိပ္ပါယ်နှင့် အရပ်ခြောက်မျက်နှာကို ကိုယ်စား ပြုသော အမိ၊ အဖ၊ ဆရာ၊ ဇနီး၊ ခင်ပွန်း၊ သားသမီး တို့၏ ဝတ္တရားများကို ဟောကြား လေ၏။
(သိင်္ဂါလောဝါဒသုတ်သည် မြန်မာများ ကျင့်သုံးနေသော မိဘဝတ်၊ ဆရာဝတ် စသည်တို့ကို ဖော်ပြထားပါသည်။)
၁၇။ အက္ကောသဘာရဒွါဇပုဏ္ဏားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
ဘာရဒွါဇအနွယ်ပုဏ္ဏားများ မကြာခဏ ရဟန်းပြုသည်ကို မကျေမချမ်းနိုင်သော အက္ကောသဘာရဒွါဇပုဏ္ဏားကြီးသည် မြတ်စွာဘုရားအပေါ်ကို အမျက်ထွက်ကာ ကြမ်းတမ်းသောစကားများဖြင့် ဆဲရေးလေ၏။
မြတ်စွာဘုရားက သည်းခံတော်မူကာ ပုဏ္ဏားကြီးအား သင့်အိမ်ရောက်လာသော ဆွေမျိုးများသည် သင်ကျွေးမွေးပြုစုသော ခဲဖွယ်ဘောဇဉ်တို့ကို မသုံးဆောင်သော် ထို ခဲဖွယ်ဘောဇဉ်များသည် မည်သူ့ထံ၌ကျန်သနည်းဟုမေး၏။ ပုဏ္ဏားကြီးက မိမိထံ၌သာ ကျန်ကြောင်း ဖြေကြားသော မြတ်စွာဘုရားက သင်၏မယဉ်ကျေးသော ဆဲမျိုးတစ်ရာကို ငါလက်မခံ၊ သင့်ထံသာကျန်ပါစေဟုပြောပြီး အမျက်ထွက်သူကို အမျက်မထွက်ခြင်းဖြင့် အောင်နိုင်ကြောင်း တရားဟောတော်မူ၏။
၁၈။ ရှင်အာနန္ဒာ၏ပယ်လေးတန်၊ ပန်လေးပါး ဆုရှစ်ပါးတောင်းခံတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရား ဝါတော်နှစ်ဆယ်ရသော် အမြဲတမ်း အလုပ်အကျွေး ရဟန်းတစ်ပါး လိုလာ၏။ မြတ်စွာဘုရားက ငါဘုရားအတွက် အမြဲတမ်း အလုပ်အကျွေးရွေးရန်မိန့်ကြား ၏။ ရဟန်းများက ညီတော်အာနန္ဒာအား မြတ်စွာဘုရားကို လုပ်ကျွေးခွင့်ပြုရန် လျှောက်ထားစေလိုကြောင်း တိုက်တွန်းကြ၏။ ညီတော်အာနန္ဒာက မိမိမလိုလားသော ဆုလေးမျိုးကို ပယ်ခွင့်ရပြီး၊ လိုလားသောဆုလေးမျိုးကို ခွင့်ပြုပါလျှင် လုပ်ကျွေးမည် ဖြစ်ကြောင်းလျှောက်၍ ပယ်ဆုလေးတန်၊ ပန်ဆုလေးပါးတောင်းပြီး အမြဲတမ်း အလုပ်အကျွေးတာဝန်ယူ၍ မြတ်စွာဘုရား ပရိနိဗ္ဗာန်စံသည့်တိုင် လုပ်ကျွေးတော်မူလေ၏။
၁၉။ ကာလာမသုတ် ဟောတော်မူခန်း
ကာလာမ အမျိုးသားတို့သည် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်၍ အချို့သော သမဏ ဗြဟ္မဏတို့သည် မိမိတို့ဝါဒကိုသာ မှန်ကန်သည်ဟု ဟောပြောလျက် သူတစ်ပါးတို့၏ဝါဒကို ရှုတ်ချကြ၏။ မည်သည့် ပုဂ္ဂိုလ်တို့၏ ဝါဒစကားသည် မှန်သနည်းဟုလျှောက်သော် မြတ်စွာ ဘုရားက ပြောသံကြားစကား၊ အစဉ်အဆက်စကား၊ စာပေနှင့် ညီညွတ်သည်ဟူသော စကား စသည်ဖြင့် ထိုစကားများကို မယုံကြည်သင့်၊ အပြစ်ရှိသည်ဟု ကိုယ်တိုင်သိသော တရားများကို စွန့်ပယ်၍ ကောင်းကျိုးချမ်းသာခြင်းငှာ ဖြစ်သည်ဟု ကိုယ်တိုင်သိသော တရားများကိုသာ ယုံကြည် ကျင့်ကြံကုန်ရာ၏ဟု “ကေသမုတ္တိသုတ်” ကို ဟောတော်မူ လေ၏။
၂၀။ ဂိလာနရဟန်းအားပြုစုတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ညီတော်အာနန္ဒာနှင့်အတူ ကျောင်းစဉ်လှည့်လည်သည်ရှိသော် ဝမ်းသက်ရောဂါဖြစ်၍ ကျင်ကြီးကျင်ငယ်တို့ဖြင့် လူးလှိမ့်အိပ်နေသော ရဟန်းကြီးတစ်ပါး ကို မြင်လေ၏။ မြတ်စွာဘုရားက ထိုသူရဟန်းကို မေးမြန်းသော် မိမိတွင် လုပ်ကျွေးမည့်သူ မရှိကြောင်း လျှောက်လေ၏။ မြတ်စွာဘုရားသည် ကိုယ်တိုင်ရေနွေးဖြင့် ဖန်ရေဆေး၍ သူနာပြုတော်မူ၏။
ထိုအကြောင်းကြောင့် ရဟန်းများကို စုဝေးစေပြီးလျှင် ရဟန်းတို့အချင်းချင်း လုပ်ကျွေးပြုစုကုန်ကြလော့၊ ငါဘုရားကိုလုပ်ကျွေးပြုစုလိုသော ရဟန်းသည် နာဖျားသော ရဟန်းကို လုပ်ကျွေးပြုစုရာ၏ဟု ဆုံးမတော်မူလေ၏။
၂၁။ မာလုကျပုတ္တရဟန်းအားဆုံးမတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ဇေတဝန်ကျောင်းတော်၌ သီတင်းသုံးနေစဉ် အရှင်မာလုကျ ပုတ္တမထေရ်သည် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်ပြီး လောကသည်မြဲ၏၊ မမြဲ၏၊ အစရှိသည် တို့ကို မြတ်စွာဘုရားသည် မဟောကြားသေး၊ မြတ်စွာဘုရား မသိငြားအံ့ မသိဟု ဝန်ခံရန်၊ အကယ်၍မဟောကြားလျှင် မိမိလူထွက်တော့မည်ဟု လျှောက်ထား၏။ မြတ်စွာဘုရားက မာလုကျပုတ္တအား “အကျိုးစီးပွားနှင့်မစပ်သည်တို့ကို ငါမဟောကြား၊ လောကသည် မြဲသည်ဖြစ်စေ မမြဲသည်ဖြစ်စေ ဇာတိ၊ ဇရာ၊ ဗျာတိ၊ မရဏ တရားတို့သည် တွေ့စမြဲ ဖြစ်သည်။ မြားပစ်ခံရသူသည် မြားပစ်ရာအရပ်၊ မြားပစ်သူ၊ လင်းလေး၊ ဒူးလေး စသည် တို့ကိုသိမှ မြားနုတ်အံ့ဟု ဆိုချေသော် သေရာသာရှိ၏။ ခန္ဓာကိုယ်၏ဆင်းရဲခြင်းများကို မျက်မှောက်ဘဝ၌ပင် တွေ့ကြုံရသည်ဖြစ်၍ ငါဟောကြားသည်ကို ဟောကြားသည့် အတိုင်း မဟောကြားသည်ကို မဟောကြားသည့်အတိုင်းသာမှတ်လော့”ဟု ဆုံးမတော်မူ ၏။
၂၂။ မဟာသာလပုဏ္ဏားကြီးကို ဂါထာသင်ကြားပေးခန်း
အသပြာရှစ်သိန်းကြွယ်ဝသော မဟာသာလ ပုဏ္ဏားကြီးသည် ဥစ္စာတို့ကို သားများအား အမွေအဖြစ် ခွဲဝေပေးလိုက်၏။ ဥစ္စာမရှိတော့သော ပုဏ္ဏားကြီးကို သားများက စွန့်ပယ်ထားသောအခါ ပုဏ္ဏားကြီးသည် ဆင်းရဲပင်ပန်းစွာ လှည့်လည်ရှာဖွေ စားသောက်နေရ၏။ ပုဏ္ဏားကြီးသည် မြတ်စွာဘုရားထံရောက်လာသော် မြတ်စွာဘုရားက ဂါထာလေးပုဒ် သင်ကြားပေး၏။ ပုဏ္ဏားကြီးသည် ထိုဂါထာများကို ပရိသတ်စုံရာသဘင်၌ ရွတ်ဆိုသော် မြို့သူမြို့သားများက သားများကို ခြိမ်းခြောက်မောင်းမဲ ပြစ်တင်ကြလေ၏။ သားများလည်း အသိတရားဖြစ်ကာ ဖခင်ပုဏ္ဏားအား ပြန်လည်ကျွေးမွေးပြုစုကြကုန်၏။ ပုဏ္ဏားကြီးလည်း မိမိရသော ပုဆိုးတို့ကို မြတ်စွာဘုရားအား ဆရာစားအဖြစ် လှူဒါန်း၍ ဘုရားထံ၌ ဥပသကာအဖြစ် ခံယူလေ၏။
၂၃။ ပဉ္စဂ္ဂပုဏ္ဏားထံမှ ဆွမ်းခံတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ပဉ္စဂ္ဂပုဏ္ဏားကြီး ထမင်းစားနေစဉ် ဆွမ်းခံကြွလာ၏။ ပုဏ္ဏားမကြီး က ကန်တော့ဆွမ်းဟူသော အမူအရာကို ပုဏ္ဏားကြီးမမြင်အောင် ပြလေ၏။ ပုဏ္ဏားကြီးသိလေသော် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်ပြီး၊ မိမိစားဆဲထမင်းသာလျင်ရှိပါ၏။ မြတ်စွာဘုရားကို အဦးမလှူရသဖြင့် လျှောက်ပတ်ပါမည်လော၊ လက်ခံနိုင်ပါမည်လောဟု လျှောက်၏။ မြတ်စွာဘုရားက ဆွမ်းဦးကိုလည်းကောင်း၊ စားဆဲကိုလည်းကောင်း၊ စားပြီး ကျန်ကြွင်းသောဆွမ်းကိုလည်းကောင်း လှူရန်လျှောက်ပတ်၏။ အလှူခံ ရဟန်းပုဏ္ဏား တို့သည် လှူသောဆွမ်းကိုချီးမွမ်းခြင်း၊ ကဲ့ရဲ့ခြင်း မပြုသင့်ဟု ဟောကြားတော်မူ၏။
၂၄။ ဒေဝဒတ် သံဃာသင်းခွဲခန်း
ဒေဝဒတ်သည် မြတ်စွာဘုရားနှင့် စင်ပြိုင်ပြုလိုသောအကြံဖြင့် မြတ်စွာဘုရား ထံမှောက် သွားရောက်ကာ ရဟန်းများ သတ်သတ်လွတ်စားရန်၊ ပံသကူသင်္ကန်းဆောင်ရန်၊ ရုက္ခမူဓူတင်ဆောင်ရန် စသော ငါးပါးသောဝတ္ထုတို့ကိုတောင်း၏။ မြတ်စွာဘုရားက ခွင့်မပြုသောအခါ မြတ်စွာဘုရားသည် ရဟန်းတို့အား လာဘ်ပေါများခြင်း အကျိုးငှာသာ ပြု၏ဟု ကဲ့ရဲ့၍ မိမိနှင့် သဘောတူသော ရဟန်းများကိုခေါ်ယူလျက် သံဃာသင်းခွဲကာ မြတ်စွာဘုရားထံမှ ထွက်ခွာသွားလေ၏။ ဤအကုသိုလ်ကြောင့် ဒေဝဒတ်သည် မြေမြိုခံရ လေသည်။
၂၅။ အဇာတသတ် ကန်တော့ခန်း
ခမည်းတော် ဗိမ္ဗိသာရမင်းကိုသတ်မိသော အဇာတသတ်၏ စိတ်သည် မတည်မငြိမ် ဖြစ်နေသည်။ မိမိ၏စိတ် အေးချမ်း တည်ငြိမ်စေရန်အတွက် အားကိုးရာရှာ၏။ ဆရာဇီဝကသည် တန်ဆောင်းမုန်းလပြည့်ည တွင် ဆင်မယာဉ်သာ ၅၀၀ ကို မောင်းမ ၅၀၀ စီးနင်းစေ၍ အဇာတသတ်ကို ခြံရံစေကာ မြတ်စွာဘုရားထံ ပို့လေ၏။ ၁၂၅၀သောသံဃာတို့၏ အလယ်၌ရှိသော မြတ်စွာဘုရားကို ဖူးမြော်ရ၍ သံဃာပရိတ်သတ်၏ ငြိမ်သက်မှုကို ဖူးမြင်ရသည့်အခါ နှစ်သက်ကြည်ညို သဒ္ဓါပိုကာ ဝမ်းမြောက်ဝမ်းသာ ဥဒါန်းကျူးရင့်လေသည်။ မြတ်စွာဘုရား၏ တရားကို နာကြားရသောကြောင့် ဥပသကာအဖြစ် ခံယူလေ၏။
၂၆။ အရှင်သာရိပုတ္တရာ၏ ချီးမွမ်းလျှောက်ထားခန်း
အရှင်သာရိပုတ္တရာသည် မြတ်စွာဘုရား၏ သဗ္ဗညုတဉာဏ်တော်ကို ကြည်ညိုတော် မူကာ မြတ်စွာဘုရားနှင့်တူသူ ယခင်ကလည်းမရှိခဲ့၊ ယခုလည်းမရှိ၊ နောင်တွင်လည်းရှိမည် မဟုတ်ဟု ဝမ်းသာအားရ ချီးပလျှောက်ထားလေ၏။
မြတ်စွာဘုရားက ပွင့်တော်မူပြီး၊ ပွင့်တော်မူဆဲ၊ ပွင့်တော်မူလတ္တံ့သော ဘုရားများ၏ စိတ်ကို သင်သိနိုင်ပါသလောဟုမေး၏။ အရှင်သာရိပုတ္တရာက မသိနိုင်ပါကြောင်း လျှောက်ထား၏။ သို့ပါလျက် ထိုစကားကို အဘယ့်ကြောင့်ပြောရသနည်းဟု မေးမြန်းလေ ၏။ အရှင်သာရိပုတ္တရာက အရှင်ဘုရားသည် အကြွင်းမဲ့ဥဿုံ သိတော်မူသည်ဟု တပည့်တော်ယုံကြည် ကြည်ညို၍ ဤကဲ့သို့သော ရဲရဲရင့်ရင့်စကားဖြင့် လျှောက်ထားရခြင်း ဖြစ်ပါ၏ဟု လျှောက်တော်မူလေသည်။
၂၇။ အမ္ဗပါလီ၏ဆွမ်းပင့်လျှောက်ထားခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် ဝေသာလီပြည် အမ္ဗပါလီ၏ သရက်ဥယျာဉ်၌ သီတင်းသုံးနေစဉ် အမ္ဗပါလီ ပြည့်တန်ဆာမသည် မြတ်စွာဘုရားထံ ဆွမ်းဖိတ်လေ၏။ မြတ်စွာဘုရားက လက်ခံတော်မူ၏။ လိစ္ဆဝီမင်းများက အမ္ဗပါလီထံမှ ထိုဆွမ်းလှူခွင့်ကို အသပြာပေး၍ ဝယ်ကြလေ၏။
အမ္ဗပါလီက ငြင်းပယ်သောအခါ လိစ္ဆဝီမင်းများသည် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်၍ ဆွမ်းဖိတ်လျှောက်ထားပြန်၏။ မြတ်စွာဘုရားက အမ္ဗပါလီ၏ ဆွမ်းကိုလက်ခံပြီးဖြစ်သည် ဟု မိန့်ကြားလျက် လိစ္ဆဝီမင်းများ၏ လျှောက်ထားချက်ကို ငြင်းပယ်တော်မူလေသည်။
၂၈။ ပရိနိဗ္ဗာန်စံတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် သက်တော် ၈၀၊ ဝါတော် ၄၅ ဝါတွင် အာယုသင်္ခါရ လွှတ်တော် မူ၏။ ကုသိနာရုံသို့ ရဟန်းများခြံရံလျက် ကြွတော်မူရာ ဝမ်းတော်လားနေသော်လည်း ဝေဒနာကို သည်းခံ၏။ ရဟန်းများစုံညီစေ၍ ပစ္ဆိမဝစန နောက်ဆုံးစကား မိန့်ကြားတော် မူပြီးလျှင် မလ္လာမင်းတို့၏ အင်ကြင်းဥယျာဉ်၌ မဟာသက္ကရာဇ် ၁၄၈ ခုနှစ်၊ ကဆုန်လပြည့် အင်္ဂါနေ့တွင် ပရိနိဗ္ဗာန်စံတော်မူ၏။
ကဆုန်လပြည့်ကျော် တစ်ဆယ့်နှစ်ရက် တနင်္ဂနွေနေ့တွင် တေဇောဓါတ် လောင်တော်မူ၏။ ကြွင်းကျန်ရစ်သော ဓါတ်တော်များကို ရလိုမှုဖြင့် မင်းများက စစ်ပြင်ကြ၏။ မင်းတို့၏ ဆရာဖြစ်သော ဒေါဏပုဏ္ဏားကြီးက ဓါတ်တော်များကို ညီမျှစွာ ခွဲဝေပေးလေ၏။ ပုဏ္ဏားကြီးမူကား ဓါတ်တော်ခြင်သောခွက်ကိုသာရလေ၏။
ပြခန်း(၁) ပဋိသန္ဓေယူခန်းနှင့် ဖွားတော်မူခန်း
မဟာသက္ကရာဇ် ၆၇ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်၊ ကြာသပတေးနေ့ မိုးသောက်ယံ၌ သီရိမာယာဒေဝီ မိဖုရားခေါင်ကြီး၏ ဝမ်းကြာတိုက်သို့ မြတ်သောဆင်ဖြူတော်သည် လက်ယာရစ်လှည့်ပြီးနောက် လက်ယာနံပါးမှ ဝင်ရောက်ကြောင်း အိပ်မက်မြင်တော်မူ၍ အလောင်းတော် သိဒ္ဓတ္ထမင်းသား ပဋိသန္ဓေယူတော်မူ၏။
မဟာသက္ကရာဇ် ၆၈ ခုနှစ်၊ ကဆုန်လပြည့်၊ သောကြာနေ့တွင် ကပ္ပိလဝတ်ပြည်နှင့် ဒေဝဒဟပြည် အကြား လုမ္ဗိနီအင်ကြင်းတော၌ ဘုရားအလောင်းတော် ဖွားမြင်တော်မူ၏။ ဖွားမြင်ပြီးနောက် မြောက်အရပ်သို့ ခုနစ်ဖဝါး လှမ်းကြွတော်မူ၍ “ငါသည် လောကတွင် အမြတ်ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အကြီးအကဲ ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အချီးမွမ်းခံထိုက်ဆုံးသူဖြစ်၏” ဟူသော သုံးခွန်းသော စကားကြုံးဝါး တော်မူ၏။
ပြခန်း(၁) ပဋိသန္ဓေယူခန်းနှင့် ဖွားတော်မူခန်း
မဟာသက္ကရာဇ် ၆၇ ခုနှစ်၊ ဝါဆိုလပြည့်၊ ကြာသပတေးနေ့ မိုးသောက်ယံ၌ သီရိမာယာဒေဝီ မိဖုရားခေါင်ကြီး၏ ဝမ်းကြာတိုက်သို့ မြတ်သောဆင်ဖြူတော်သည် လက်ယာရစ်လှည့်ပြီးနောက် လက်ယာနံပါးမှ ဝင်ရောက်ကြောင်း အိပ်မက်မြင်တော်မူ၍ အလောင်းတော် သိဒ္ဓတ္ထမင်းသား ပဋိသန္ဓေယူတော်မူ၏။
မဟာသက္ကရာဇ် ၆၈ ခုနှစ်၊ ကဆုန်လပြည့်၊ သောကြာနေ့တွင် ကပ္ပိလဝတ်ပြည်နှင့် ဒေဝဒဟပြည် အကြား လုမ္ဗိနီအင်ကြင်းတော၌ ဘုရားအလောင်းတော် ဖွားမြင်တော်မူ၏။ ဖွားမြင်ပြီးနောက် မြောက်အရပ်သို့ ခုနစ်ဖဝါး လှမ်းကြွတော်မူ၍ “ငါသည် လောကတွင် အမြတ်ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အကြီးအကဲ ဆုံးဖြစ်၏။” “ငါသည် လောကတွင် အချီးမွမ်းခံထိုက်ဆုံးသူဖြစ်၏” ဟူသော သုံးခွန်းသော စကားကြုံးဝါး တော်မူ၏။
ပြခန်း(၂) ထီးနန်းစိုးစံတော်မူခန်း
ပြခန်း(၃) နိမိတ်ကြီးလေးပါး မြင်တော်မူခန်း
ပြခန်း(၄) တောထွက်တော်မူခန်း
ပြခန်း(၅) ဒုက္ကရစရိယာကျင့်တော်မူခန်း
ပြခန်း(၆) ဘုရားဖြစ်တော်မူခန်း
ပြခန်း(၇) ဓမ္မစကြာတရားဟောတော်မူခန်း
ပြခန်း(၈) ယဿသူဋ္ဌေးသားရဟန်းဖြစ်ခန်း
ယသသူဌေးသားသည် အထက်မဂ်သုံးပါးကို အစဉ်အတိုင်းရရှိကာ ရဟန္တာဖြစ်လေ ၏။ သူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် နှစ်ဦးတို့သည် သရဏဂုံသုံးပါးကို ဦးစွာဆောက်တည်ခွင့် ရသူများဖြစ်၏။
ပြခန်း(၉) ယသော်ဓရာကန်တော့ခန်းနှင့် ရာဟုလာအမွေတောင်းခန်း
ယသသူဌေးသားသည် မိန်းမတို့သာဖျော်ဖြေသော ဂီတသဘင်တို့ဖြင့် လောကီ စည်းစိမ်ခံစားနေစဉ် တစ်ညဉ့်သ၌ သန်းခေါင်ကျော်အချိန် နိုးလတ်၏။ ဖရိုဖရဲ ပုံပျက် ပန်းပျက် အိပ်မောကျနေသော ကချေသည် မောင်းမများကို မြင်သဖြင့် သုသာန်တစပြင် ကဲ့သို့မြင်ကာ ငြီးငွေ့လာပြီး အဆောင်မှထွက်၍ မိဂဒါဝုန်တောသို့ရောက်လာ၏။ မြတ်စွာ ဘုရားနှင့်တွေ့သဖြင့် တရားဟောသောကြောင့် သောတပန်ဖြစ်လေ၏။ သားပျောက် သဖြင့် ခြေရာခံလိုက်ရှာသော ယသသူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် သုဇာတာတို့သည်လည်း ဘုရားထံရောက်လေသော် တရားနာကြားရ၍ သရဏဂုံတည်ပြီး သောတပန်ဖြစ်လေ၏။
ယသသူဌေးသားသည် အထက်မဂ်သုံးပါးကို အစဉ်အတိုင်းရရှိကာ ရဟန္တာဖြစ်လေ ၏။ သူဌေးကြီးနှင့် သူဌေးကတော် နှစ်ဦးတို့သည် သရဏဂုံသုံးပါးကို ဦးစွာဆောက်တည်ခွင့် ရသူများဖြစ်၏။
ပြခန်း(၁၀) ရောဟီဏီမြစ်ဝှမ်းတွင် ငြိမ်းချမ်းရေးတရားဟောတော်မူခန်း
ပြခန်း(၁၁) ဘိက္ခုနီသာသနာခွင့်ပြုတော်မူခန်း
ညီတော်အာနန္ဒာ၏ လျှောက်ထားတောင်းပန်ချက်အရ မိထွေးတော်ဂေါတမီအား ဂရုဓံတရားရှစ်ပါးကို ဝန်ခံနိုင်လျှင် ပဉ္စင်းခံမှုဖြစ်လေလော့ဟု ဘိက္ခုနီသာသနာကို ခွင့်ပြုတော်မူ၏။
ပြခန်း(၁၂) ခေမာမိဖုရားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
ကျောင်းတော်တွင် မြတ်စွာဘုရားအား ယပ်ခတ်နေသော မိမိထက် သာလွန် လှပသော မိန်းမပျိုကို အံ့ဩစွာတွေ့မြင်လေ၏။ မိမိကြည့်နေစဉ် ထိုမိန်းမပျို၏အဆင်း သည် အိုခြင်း၊ နာခြင်း၊ သေခြင်း အဆင့်ဆင့်ဖောက်ပြန် ပျက်စီးသွားလေသည်။ ခေမာ မိဖုရားသည် သံဝေဂရ၍ မြတ်စွာဘုရား အဆုံးအမတော်ကို နာယူပြီး ရဟန်းပြုလေသည်။
ပြခန်း(၁၃) ရဟန်းများတန်ခိုးပြာဋိဟာမပြရန် ပညတ်တော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရား၏သာသနာကို ထိခိုက်စေနိုင်သော ပြက်ရယ်ပြုသံများကို ကြားရ သောအခါ ရှင်ပိဏ္ဍောလဘာရဒွါဇမထေရ်သည် တန်ခိုးဖြင့် ကောင်းကင်မှသပိတ်ကိုယူလေ သော် ရာဇဂြိုဟ်တစ်မြို့လုံး အုတ်အုတ်ကျက်ကျက်ဖြစ်၏။ ဘုရားရှင်သိလေသော် ရှင်ပိဏ္ဍောလဘာရဒွါဇကို ခေါ်ယူဆုံးမ၍ ရဟန်းတို့အား တန်ခိုးပြာဋိဟာမပြရန် သိက္ခာပုဒ် ပညတ်တော်မူလေ၏။
ပြခန်း(၁၄) အဘိဓမ္မာတရားဟောကြားတော်မူခန်း
ပြခန်း(၁၅) ပါလိလေယျကတော၌ တစ်ပါးတည်းစံပျော်တော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားသည် သံဃာပရိတ်သတ်တို့ကိုစွန့်ခွာ၍ မိမိတစ်ကိုယ်တည်းသာ ကိန်းအောင်းတော်မူလိုသဖြင့် ပါလိလေယျကတောသို့ ကြွရောက်သီတင်းသုံးစဉ် ပါလိလေယျက ဆင် နှင့် မျောက် တို့က ပြုစုကြလေသည်။
ပြခန်း(၁၆) သိင်္ဂါလသတိုးသားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
(သိင်္ဂါလောဝါဒသုတ်သည် မြန်မာများ ကျင့်သုံးနေသော မိဘဝတ်၊ ဆရာဝတ် စသည်တို့ကို ဖော်ပြထားပါသည်။)
ပြခန်း(၁၇) အက္ကောသဘာရဒွါဇပုဏ္ဏားအား ဆုံးမတော်မူခန်း
မြတ်စွာဘုရားက သည်းခံတော်မူကာ ပုဏ္ဏားကြီးအား သင့်အိမ်ရောက်လာသော ဆွေမျိုးများသည် သင်ကျွေးမွေးပြုစုသော ခဲဖွယ်ဘောဇဉ်တို့ကို မသုံးဆောင်သော် ထို ခဲဖွယ်ဘောဇဉ်များသည် မည်သူ့ထံ၌ကျန်သနည်းဟုမေး၏။ ပုဏ္ဏားကြီးက မိမိထံ၌သာ ကျန်ကြောင်း ဖြေကြားသော မြတ်စွာဘုရားက သင်၏မယဉ်ကျေးသော ဆဲမျိုးတစ်ရာကို ငါလက်မခံ၊ သင့်ထံသာကျန်ပါစေဟုပြောပြီး အမျက်ထွက်သူကို အမျက်မထွက်ခြင်းဖြင့် အောင်နိုင်ကြောင်း တရားဟောတော်မူ၏။
ပြခန်း(၁၈) ရှင်အာနန္ဒာ၏ပယ်လေးတန်၊ ပန်လေးပါး ဆုရှစ်ပါးတောင်းခံတော်မူခန်း
ပြခန်း(၁၉) ကာလာမသုတ် ဟောတော်မူခန်း
ပြခန်း(၂၀) ဂိလာနရဟန်းအားပြုစုတော်မူခန်း
ထိုအကြောင်းကြောင့် ရဟန်းများကို စုဝေးစေပြီးလျှင် ရဟန်းတို့အချင်းချင်း လုပ်ကျွေးပြုစုကုန်ကြလော့၊ ငါဘုရားကိုလုပ်ကျွေးပြုစုလိုသော ရဟန်းသည် နာဖျားသော ရဟန်းကို လုပ်ကျွေးပြုစုရာ၏ဟု ဆုံးမတော်မူလေ၏။
ပြခန်း(၂၁) မာလုကျပုတ္တရဟန်းအားဆုံးမတော်မူခန်း
ပြခန်း(၂၂) မဟာသာလပုဏ္ဏားကြီးကို ဂါထာသင်ကြားပေးခန်း
ပြခန်း(၂၃) ပဉ္စဂ္ဂပုဏ္ဏားထံမှ ဆွမ်းခံတော်မူခန်း
ပြခန်း(၂၄) ဒေဝဒတ် သံဃာသင်းခွဲခန်း
ပြခန်း(၂၅) အဇာတသတ် ကန်တော့ခန်း
ပြခန်း(၂၆) အရှင်သာရိပုတ္တရာ၏ ချီးမွမ်းလျှောက်ထားခန်း
မြတ်စွာဘုရားက ပွင့်တော်မူပြီး၊ ပွင့်တော်မူဆဲ၊ ပွင့်တော်မူလတ္တံ့သော ဘုရားများ၏ စိတ်ကို သင်သိနိုင်ပါသလောဟုမေး၏။ အရှင်သာရိပုတ္တရာက မသိနိုင်ပါကြောင်း လျှောက်ထား၏။ သို့ပါလျက် ထိုစကားကို အဘယ့်ကြောင့်ပြောရသနည်းဟု မေးမြန်းလေ ၏။ အရှင်သာရိပုတ္တရာက အရှင်ဘုရားသည် အကြွင်းမဲ့ဥဿုံ သိတော်မူသည်ဟု တပည့်တော်ယုံကြည် ကြည်ညို၍ ဤကဲ့သို့သော ရဲရဲရင့်ရင့်စကားဖြင့် လျှောက်ထားရခြင်း ဖြစ်ပါ၏ဟု လျှောက်တော်မူလေသည်။
ပြခန်း(၂၇) အမ္ဗပါလီ၏ဆွမ်းပင့်လျှောက်ထားခန်း
အမ္ဗပါလီက ငြင်းပယ်သောအခါ လိစ္ဆဝီမင်းများသည် မြတ်စွာဘုရားထံချဉ်းကပ်၍ ဆွမ်းဖိတ်လျှောက်ထားပြန်၏။ မြတ်စွာဘုရားက အမ္ဗပါလီ၏ ဆွမ်းကိုလက်ခံပြီးဖြစ်သည် ဟု မိန့်ကြားလျက် လိစ္ဆဝီမင်းများ၏ လျှောက်ထားချက်ကို ငြင်းပယ်တော်မူလေသည်။
ပြခန်း(၂၈) ပရိနိဗ္ဗာန်စံတော်မူခန်း
ကဆုန်လပြည့်ကျော် တစ်ဆယ့်နှစ်ရက် တနင်္ဂနွေနေ့တွင် တေဇောဓါတ် လောင်တော်မူ၏။ ကြွင်းကျန်ရစ်သော ဓါတ်တော်များကို ရလိုမှုဖြင့် မင်းများက စစ်ပြင်ကြ၏။ မင်းတို့၏ ဆရာဖြစ်သော ဒေါဏပုဏ္ဏားကြီးက ဓါတ်တော်များကို ညီမျှစွာ ခွဲဝေပေးလေ၏။ ပုဏ္ဏားကြီးမူကား ဓါတ်တော်ခြင်သောခွက်ကိုသာရလေ၏။

1. ธนินกราพระพุทธเจ้า
(พระโพธิตรี–สายปิน–อัลสโทเนียสโกลาริส) เกิดจากพ่อแม่คือนันทะและสุนันทลที่เมือง ปปวาดีใ นวัฏจักรโลกกัปปสสารมันทาใช้ช้างเป็นพาหนะในการสละออกบรรลุการตรัสรู้ภายใต้พระสายปินในฐานะต้นไม้แห่งการตรัสรู้หลังจากท้าทายการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ในการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะทนได้.
3. Maedinkaraพระพุทธเจ้า
(พระโพธิตรี–พระสกุฏปิน–พระโดลิจันโดรนสพาทาเซีย)เกิดที่เมืองวิปุลาในวัฏจักรโลกสาร มนท กัปปะโดยมีพระบิดาคือพระสุมังคลาและพระยถาวดีเป็นม้าที่เชื่องเป็นพาหนะในการสละโลกบรรลุธรรมภายใต้พระสกุฏปินพระโพธิตรีหลังจากต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักในการปฏิบัติธรรมที่ยากเกินความอดทนของมนุษย์ทั่วไปเป็นเวลาถึงสิบสี่วัน.
2. สาริงกรพระพุทธเจ้า
(พระโพธิตรี–พุกพิน–พุเทียโมโนสเปิร์ม) เกิดจากพ่อแม่คือสุเทวะและยโสธราในเมืองมาเอกาลาข องสรามันดากัปปโลกใช้ช้างที่เชื่องเป็นพาหนะในการสละโลกบรรลุธรรมภายใต้พระโพธิตรีพุกพินหลังจากต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเป็นเวลาสิบห้าวันในการปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัดเกินกว่าที่มนุษย์จะอดทนได้.
4. พระทีปันกรพุทธเจ้า
(โพธิตรี–นาวจัตปิน–ไทรนิโกรธ) ฤๅษีสุเมธพระพุทธเจ้าในอนาคตได้เคลียร์ทางโคลนเพื่อให้พระ ทีปนกรเดินทางกับพระอรหันต์ก่อนที่ทางจะเคลียร์ได้หมดพระพุทธเจ้าก็เสด็จมาตามทางสุเมธจึงถวายร่างด้วยการนอนคว่ำหน้าลงบนโคลนร่างทำหน้าที่เป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าเหยียบย่ำพระพุทธเจ้าทีปนกรจึงได้ทรงประกาศเป็นพระศาสดาว่าฤๅษีสุเมธจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตอย่างแน่นอน โดยใช้พระนามว่าโคตม.
5. โกณฑัญญะพระพุทธเจ้า
(โพธิตรี-นเปปินอรสิลุมสาละกาลยานี)พระพุทธเจ้าศากยะวิสิฏฐวีจะทรงจัดวิหารใหญ่ให้พระโก ณฑัญญะประทับและทรงถวายภัตตาหารพร้อมเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆพระพุทธเจ้าโกณฑัญญะทรงประกาศพระนามาภิไธยว่าพระพุทธเจ้าศากยะวิสิฏฐวีในอนาคตโพธิสัตว์จะต้องเป็นโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
6. พระพุทธเจ้ามังคละ
(ต้นไม้แห่งการตรัสรู้กันตกะพินต้นนาค)พราหมณ์สุรุสี-พระพุทธเจ้าจะทรงสร้างคฤหาสน์ใหญ่ที่ ประดับด้วยอัญมณีและเครื่องประดับอันมีค่าสำหรับให้พระพุทธเจ้ามังคละและพระสาวกประทับอยู่ และทรงถวายเครื่องบูชาต่างๆเป็นเวลา7วันติดต่อกันพระพุทธเจ้ามังคละทรงประกาศเป็นคำทำนายว่าในอนาคตพระพุทธเจ้าสุรุสีพราหมณ์พระโพธิสัตว์จะต้องเป็นพระพุทธเจ้าในพระนามของโคตมอย่างแน่นอน.
7. พระสุมนะพุทธเจ้า
(ต้นไม้แห่งการตรัสรู้–ต้นคันธกุมภ์–ต้นนาค)พระโพธิสัตว์อตุลาราชาแห่งมังกรถวายดนตรีทิพย์ บูชาแด่พระสุมนะและถวายอาหารบิณฑบาตและน้ำผลไม้รสอร่อยพระสุมนะทรงประกาศเป็นพระศาสดาว่าในอนาคต พระโพธิสัตว์อตุลาราชาแห่งมังกรจะต้องเป็นโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
8. พระพุทธเจ้าเรวตะ
(ต้นไม้แห่งการตรัสรู้–กันตกะพิน–ต้นไม้แห่งนาค)พระพุทธเจ้าอติเทวะพราหมณ์–พระพุท ธเจ้าจะ ทรงแสดงการบูชาคุณลักษณะของพระเรวตะด้วยคาถา1,000คาถาและทรงบริจาคเสื้อคลุมมูลค่าหนึ่งพันเหรียญทองพระองค์เรวตะทรงประกาศคำทำนายว่าในอนาคตพระอติเทวะพราหมณ์จะทรงเป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
9. พระโสภิตาพุทธเจ้า
(ต้นไม้แห่งการตรัสรู้–ต้นคันธกวิน–ต้นนาค)พระโพธิสัตว์สุชาดาพราหมณ์ได้ถวายเครื่องบูชาแ ด่พระโสภิตพุทธเจ้าด้วยเครื่องบูชาอันยิ่งใหญ่ตลอดสามเดือนเต็มในช่วงเข้าพรรษาพระโสภิตทรงประกาศพระวาจาพยากรณ์ว่าในอนาคตพระสุชาดาพราหมณ์จะกลายมาเป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
10. พระพุทธอโนมาทัสสี
(พระโพธิสัตว์–ต้นพุทกยันต์ปินหรือต้นอัชชุนะ)พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นจอมยักษ์ได้ถวายอาหารบิณ ฑบาตและเครื่องเซ่นไหว้อื่นๆแก่พระภิกษุที่นำโดยพระอโนมทัสสีเป็นเวลา7วันติดต่อกันภายในห้องโถงใหญ่ที่ประดับด้วยอัญมณีและเครื่องประดับนานาชนิดพระอโนมทัสสีได้ทรงประกาศพระโอษฐ์ว่าจอมยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่จะกลายมาเป็นพระโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
11. พระพุทธปทุมพุทธเจ้า
(ต้นโพธิสัตว์–ต้นจวงศปินต้นมหาโสณะ) พระโพธิสัตว์ราชาแห่งราชสีห์ทรงแสดงความเคารพอย่ างสูงต่อพระปัทมะพุทธเจ้าซึ่งกำลังเจริญสมาธิภาวนาในระดับบรรลุนิพพานเป็นเวลา7วันติดต่อกันนอกจากนี้พระองค์ยังทรงแสดงความเคารพอย่างสูงต่อภิกษุสงฆ์พระพุทธเจ้าทรงประกาศเป็นพระศาสดาว่า ในอนาคต พระโพธิสัตว์ราชาแห่งราชสีห์จะต้องเป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
12. นาราดาพระพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์-จยานุสฺสฺปินต้นมหาโศณฺณ) พระโพธิสัตว์ผู้เป็นฤๅษีได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิ กษุที่นำโดยพระนารทพุทธเจ้าและได้ถวายไม้จันทน์หอมจากเทือกเขาหิมาลัยพระพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้ชัดเจนว่าฤๅษีผู้นี้จะเป็นโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
13. พระพุทธปทุมุตตรพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์–ทินศุพินต้นสาละลา) พระพุทธเจ้าในอนาคตจะถวายบิณฑบาตและจีวรแด่พระภิกษุที่นำ โดยพระปทุมุตตรพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงทำนายไว้ชัดเจนว่าโพธิสัตว์สัตติลาเศรษฐีผู้นี้จะกลายเป็นพระโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
14. พระสุเมธพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์–ต้นตมะจิปินมหานิบา) ชายหนุ่มนามว่าอุตตรพระพุทธเจ้าในอนาคตได้อุทิศทรัพย์สมบั ติทั้งหมดของตนที่รวบรวมได้ให้แก่พระภิกษุที่นำโดยพระสุเมธพุทธเจ้าและอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อเข้านิกาย พระพุทธเจ้าสุเมธได้ทรงประกาศพระพุทธพจน์ว่า ในอนาคต พระโพธิสัตว์ อุตตร จะต้องเป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
15. พระสุชาดาพุทธเจ้า
(พระโพธิสัตว์ – ต้นไม้มหาเวฬุ) พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นพระเจ้าศากยะทรงอุทิศแก้วมณีอันล้ำค่าทั้ง 7 พระองค์และพระราชอาณาจักรทั้งหมดของพระองค์ให้แก่พระภิกษุที่นำโดยพระสุชาดาและทรงบวชเป็นพระภิกษุพระสุชาดาทรงทำนายอย่างชัดแจ้งว่าในอนาคตพระบาทสมเด็จพระศากยะจะทรงเป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
16. พระปิยทัสสีพุทธเจ้า
(พระโพธิสัตว์กัสสปพราหมณ์หนุ่มซึ่งจะเป็นพระพุทธเจ้าได้สร้างวิหารอันยิ่งใหญ่และถวายแด่พร ะปิยทัสสีจากนั้นจึงไปพึ่งพระรัตนตรัยพร้อมทั้งรักษาศีลห้าพระพุทธเจ้าปิยทัสสีทรงประกาศเป็นพระศาสดาว่า ในอนาคต พระโพธิสัตว์กัสสปพราหมณ์หนุ่มจะต้องเป็นโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
17. พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์-สากปิณฑ์, ต้นจัมกะ) พระโพธิสัตว์สุสิมพราหมณ์ได้ถวายทรัพย์ทั้งหมดเพื่อการกุศลแก่ ผู้ยากไร้และใช้ชีวิตเป็นฤๅษีสุสิมฤคทายวันถวายดอกบัวสวรรค์และดอกปิ่นเกล้าแด่พระพุทธเจ้พระอัตถทัสสีทรงทำนายไว้ชัดเจนว่าในอนาคตสุสิมพราหมณ์จะได้เป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
18. พระธรรมทัสสีพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์–ต้นสันสัตพินต้นบิมจาละ) พระพุทธเจ้าในอนาคตทกยารมิน–ราชาแห่งเทพ พร้อมด้วยเ หล่าเทพบริวารของพระองค์ถวายพระธรรมทัสสีพุทธเจ้าผู้ถวายบูชาด้วยความเคารพพร้อมด้วยเสียงดนตรีสวรรค์และดอกไม้สวรรค์อื่นๆมากมายองค์ธรรมทัสสีทรงประกาศเป็นคำทำนายว่าโพธิสัตว์ ทกยารมิน ราชาแห่งเทพ จะต้องเป็นโคตมะพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
19. พระสิทธัตถะพุทธเจ้า
(พระโพธิ์–มหาเลขา, ต้นกรณิการ) มังคละพราหมณ์พระพุทธเจ้าในอนาคตได้มอบทรัพย์สินทั้งห มดให้แก่คนยากจนที่ขัดสนและกลายเป็นฤๅษีที่ได้รับพลังฌานพลังเหนือธรรมชาติเขานำผลสพยุทาบเยซึ่งเป็นผลยูจีนีที่หายากและอร่อยมากซึ่งมีพลังเหนือธรรมชาติฌานของเขาไปถวายให้กับพระภิกษุที่นำโดยพระพุทธเจ้าสิทธัตถะพระพุทธเจ้าทรงทำนายอย่างชัดแจ้งว่าฤๅษีมังคละจะกลายเป็นพระโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
20. พระพุทธติสสะ
(ต้นโพธิ์–ต้นปาด็อกปินต้นอาสนะ) พระเจ้าสุชาดาผู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญตบะหลังจาก สละทรัพย์สมบัติและอาณาจักรทั้งหมดพระองค์ทรงนำดอกไม้จากสวรรค์ซึ่งมีพลังเหนือธรรมชาติมาถวายแด่พระติสสะด้วยความเคารพยิ่งพระองค์ยังได้ถวายร่มพระราชทานที่ทำจากเส้นใยบัวปทุมมาอันวิจิตรบรรจงเพื่อประดิษฐานไว้เหนือพระเศียรของพระติสสะเพื่อเป็นเกียรติพระเจ้าติสสะทรงทำนายไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าสุชาดาผู้เป็นพระพุทธเจ้าจะทรงเป็นพระโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
21. ปุสสะพระพุทธเจ้า
(พระโพธิตรี–ศิษยาภิบาล, ต้นอมันดา) พระพุทธเจ้าในอนาคต พระเจ้าวิชิตาวีทรงจัดพิธีทำบุญให ญ่และละทิ้งฐานะอันมั่งคั่งเพื่อบวชเป็นพระภิกษุพระพุทธเจ้าตรัสว่าพระเจ้าวิชิตาวีจะทรงเป็นพระโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
22. พระวิปัสสีพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์-สาคุดพิน-ต้นปาฏลี) พระอตุลมหาพญานาคพระพุทธเจ้าจะทรงสร้างศาลาใหญ่ประดับ แก้วมณีให้พระภิกษุที่พระวิปัสสีเป็นประมุขประทับอยู่เพื่อบำเพ็ญกุศลใหญ่โต๗วันติดต่อกันถวายพระที่นอนต่ำทำด้วยทองคำประดับแก้วมณี๗ชนิดแด่พระพุทธเจ้าพระวิปัสสีทรงทำนายไว้ชัดเจนว่า พระอตุลมหาพญานาค โพธิสัตว์ จะต้องเป็นพระโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
23. พระพุทธเจ้าสิขี
(ต้นโพธิ์–ต้นไทร–ต้นพุทธังกะ) พระเจ้าอรินทมะพระพุทธเจ้าในอนาคตทรงบริจาคช้างพระราชทา นพร้อมเงินจำนวนเท่ากับราคาช้างให้แก่พระภิกษุที่นำโดยพระสิขีพระสิขีทรงประกาศพระพุทธโอวาทว่า พระเจ้าอรินทมะ โพธิสัตว์ จะต้องเป็นโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
24. พระเวสสภูพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์อินจิ้นปิน) พระเจ้าสุธัสสนะพระพุทธเจ้าจะประสูติทรงสร้างและอุทิศวิหารใหญ่ให้พระเวสส ภูประสูติและทรงบริจาคอารามหนึ่งพันแห่งให้พระสาวกประทับและทรงบวชเป็นพระภิกษุพระองค์ตรัสทำนายว่า พระสุธัสสนะ โพธิสัตว์ จะเป็นพระโคตมพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน.
25. Kakusanda Buddha
(ต้นโพธิ์-โคกโกปิน-สิริสา) พระพุทธเจ้าในอนาคตนามว่า พระเจ้าเขมะ ได้ถวายบาตร จีวร และยา แก่พระภิกษุที่มีพระกกุสันทพุทธเจ้าเป็นประมุขและได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุพระกกุสันทพุทธเจ้าทรงทำนายไว้ชัดเจนว่าพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์ผู้สูงศักดิ์พระเจ้าเขมะจะต้องเป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอนในอนาคต.
26. พระโคนาคมนะพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์–ต้นเยตพันพิน–ต้นอุทุมพร) พระเจ้าปพพบาทพระพุทธเจ้าทรงถวายอาหารบิณฑบาตแ ละดูแลสิ่งของจำเป็นทั้งหมดแก่พระภิกษุที่พระโกนาคมณเป็นประธานตลอดระยะเวลา3เดือนตลอดช่วงเข้าพรรษาและทรงบริจาคผ้าซาตินที่นอนขนสัตว์และผ้าเช็ดหน้าที่ล้ำค่ามากพระเจ้าโกนาคมณทรงประกาศเป็นพระศาสดาว่าพระเจ้าปพพบาทพระพุทธเจ้าในอนาคตจะต้องเป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
27. พระกัสสปพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์–ต้นปันญองปิน–ต้นนิโกรท) ชายหนุ่มนามว่าโชติปาลพระพุทธเจ้าในอนาคตหลังจากไ ด้ฟังธรรมที่พระทัสสปะแสดงแล้วก็ได้บวชเป็นภิกษุและศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า(ปริยัติสาสนะ)อย่างละเอียดถี่ถ้วนพระกัสสปะทรงทำนายอย่างชัดแจ้งว่าในอนาคตโพธิสัตว์โชติปาล จะเป็นพระโคตมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน.
28. พระโคตมพุทธเจ้า
(ต้นโพธิ์–ต้นโพธิ์–ต้นอัสสัตถะ) เจ้าชายสิทธัตถะจะประสูติที่กรุงกบิลพัสดุ์จากพระบิดาคือพระเจ้ าสุทโธทนะและพระมารดาคือพระนางสิริมหามายาเทวีและทรงสละโลกโดยใช้ม้าคันถกะอันทรงพลังเป็นพาหนะในการสละโลกทรงบรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดที่เชิงพระมหาโพธินยองโพธิเฮปินลังจากทรงต่อสู้อย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลา 6 ปี ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินกว่าที่คนทั่วไปจะทนได้.
